การรับน้องใหม่ของนักศึกษามหาวิทยาลัย กลายเป็นโศกนาฏกรรมซ้ำซาก เหยื่อรายล่าสุดคือนายพัศยศ หรือเปรม ชลภักดี นักศึกษาปีที่ 1 วิทยาลัยนวัต กรรมวิชาชีพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.) นครราชสีมา ถูกนักศึกษารุ่นพี่มอมเหล้า และชกต่อยที่หน้าอกจนฟุบแน่นิ่งและสิ้นใจตาย เมื่อวันที่ 13 มีนาคมเป็นเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นในพิธีต้อนรับใหญ่ ที่สืบทอดวัฒนธรรมแห่งความรุนแรง รวมทั้งการ “ว้าก” การข่มขู่คุกคาม การทำร้ายร่างกายที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ปี 2563 มีเสียชีวิต 3 คน ปี 2564 อีก 1 คน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย อย่าให้เกิดขึ้นอีกแค่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน และลงโทษนักศึกษารุ่นพี่ที่มีส่วนร่วมในการต้อนรับน้องมหาโหด ไม่มีทางที่จะทำให้วัฒนธรรมแห่งความรุนแรงหมดไป เพราะสังคมไทยติดยึดในระบอบอำนาจนิยม นิยมชมชอบการใช้กำลัง หรือใช้อำนาจ ในการตัดสินปัญหา ตั้งแต่ในครอบครัว โรงเรียน และสังคมทั่วไปวัฒนธรรมการใช้ความรุนแรง ที่กระทบต่อการเมือง และการปกครองประเทศมากที่สุด ได้แก่การกระทำที่เรียกว่า “รัฐประหาร” คือการใช้กำลังทหารยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลเลือกตั้ง ยึดอำนาจสำเร็จมาแล้วถึง 13 ครั้ง นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเกือบ 90 ปี ยึดไม่สำเร็จละกลายเป็น “กบฏ” คือสิบกว่าครั้งการยึดอำนาจกลายเป็นประเพณี เป็นสุดยอดของการใช้ความรุนแรงเป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 113 ที่ระบุว่าการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร ฯลฯ เป็นความผิดฐานเป็นกบฏนายกรัฐมนตรีพูดถึงการเสียชีวิต ในการรับน้องใหม่ของนักศึกษาคือเรื่องที่สังคมรุนแรงขึ้น เป็นการไม่เคารพกฎหมาย แต่รุนแรงน้อยกว่า ป.อาญา ม.113 โทษฐานกบฏ ต้องระวางโทษประหาร ชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่คณะรัฐประหารก็ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะให้นิรโทษกรรมตนเองได้ หลังการยึดอำนาจนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการไม่เคารพกฎหมาย เป็นสิ่งที่น่ากลัวของประเทศเรา เพราะกฎหมายคือสิ่งที่ทำให้สังคมเท่าเทียมกัน เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดาย 8 ปีที่อยู่ในอำนาจนายก รัฐมนตรีไม่ได้ปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย ที่ห้ามใช้ความรุนแรงและยึดแนวทางสันติ เป็น 8 ปี ที่สูญเปล่าหรือไม่?