ตอกย้ำ...หลักการสำคัญในการพิจารณา “ช่วยเหลือเบื้องต้น” แก่ผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังเข้ารับ “วัคซีนโควิด-19” ที่ดำเนินการโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อยู่ในขณะนี้ คือการ “ไม่พิสูจน์ถูก-ผิด”เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ได้รับ...“ความเสียหาย” ได้รับ...“การเยียวยา” อย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด ในมุมมองของ สปสช.แล้ว “ความล่าช้า” ถือเป็นการ “ซ้ำเติม” ความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบ จึงมีการกำหนดกรอบการดำเนินงาน โดยจะมีการพิจารณาคำร้องให้แล้วเสร็จ ภายใน 5 วัน หลังจากที่ สปสช.ได้รับคำร้องนั่นหมายความว่า ภายใน 5 วัน หลังจากที่เรื่องถึงมือ สปสช.ก็จะให้ความชัดเจนได้ว่า “ผู้ที่ยื่นคำร้อง” จะได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างไร หรือในอัตราเท่าใด ขยายความต่อไปอีกว่า...การให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นนี้ จะใช้หลักการและเพดานเดียวกับ มาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทว่า...การดำเนินการ ได้ออกประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือประกาศบอร์ด สปสช. ขึ้นมาเป็นการเฉพาะประกาศฉบับดังกล่าวที่ว่านี้ ได้ขยายความครอบคลุมการช่วยเหลือเบื้องต้นไปยังประชาชนทุกสิทธิ ทั้ง หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ประกันสังคม และ สวัสดิการข้าราชการ ย้ำว่า...สปสช. จะขีดเส้นการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาภายใน 5 วัน หลังจากที่คณะอนุกรรมการมีมติให้ช่วยเหลือผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง กรรมการสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย หนึ่งในอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีได้รับความเสียหายหลังรับวัคซีนโควิด-19 เขต 1 เชียงใหม่ ซึ่งได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่กรณีของ นายอุดร เย็นจิตร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ต.ห้วยม้า จ.แพร่ ที่เสียชีวิตภายหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ...เป็นเงินจำนวน 400,000 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเต็มอัตรา ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช“คณะอนุกรรมการฯมีความเห็นว่าการเสียชีวิตของนายอุดร เย็นจิตร เป็นเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยที่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด และยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเกี่ยวข้องหรือเป็นผลมาจากการได้รับวัคซีนโควิด-19 หรือไม่”ผศ.นพ.สุรัตน์ ว่าคณะอนุกรรมการฯจึงมีมติให้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปตามหลักการสำคัญของ “การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นฯ” ของ สปสช.อยู่แล้ว ที่มุ่งช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิดหรือผลพิสูจน์ทางการแพทย์ตามนโยบายและข้อสั่งการ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. มุ่งหมายต้องการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทุกคนที่เข้ารับวัคซีนโควิด-19 อนุทิน ชาญวีรกูลอนุทิน ยืนยันว่า...“แม้ว่าอัตราการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากวัคซีนโควิด-19 จะต่ำมาก แต่ด้วยวัคซีนที่ใช้อยู่ทั่วโลกนั้นเป็นวัคซีนที่อนุมัติให้ใช้ได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลข้างเคียง เพราะถึงแม้เป็นวัคซีนที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว...บางครั้งก็ยังเกิดอาการไม่พึงประสงค์อยู่ รัฐบาลจึงอยากสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่า...หากเกิดอาการดังกล่าวขึ้นจริง จะได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างทันทีทันใด”จากการติดตามข้อมูลผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ในทั่วโลกกว่า 100 ล้านเข็ม พบว่า การเกิดผลข้างเคียงอยู่ในระดับที่ต่ำมากๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 ทุกประเทศจึงตัดสินใจใช้วัคซีนโควิด-19 เป็นอาวุธในการป้องกันการแพร่กระจายโรค“เราไม่สามารถพูดได้ว่าจะไม่มีผลกระทบเกิดขึ้นเลย แต่เรายืนยันได้ว่าผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันและเตรียมการรับมือได้” อนุทินว่าในฐานะประธานบอร์ด สปสช. ยืนยันในหลักการสำคัญที่ว่า การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ได้รับผลกระทบนั้นจะไม่มีการพิสูจน์ถูก-ผิด และถึงแม้ว่าในภายหลังจะพบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นผลมาจากวัคซีนโควิด-19 ก็จะไม่มีการเรียกเงินคืนใดๆ“สปสช.จะมีคณะอนุกรรมการทั้ง 13 เขตทั่วประเทศ ที่จะใช้ความเชี่ยวชาญจากการเป็นแพทย์มาพิจารณาเคสคำร้องต่างๆ โดยจะใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 5 วัน หลังจากได้รับคำร้อง ซึ่งเราจะให้สิทธิ์ขาดและเคารพการตัดสินใจของคณะอนุกรรมการ และพร้อมจะจ่ายชดเชยให้ทันทีที่ผลการพิจารณาออกมา”ให้รู้ต่อไปอีกว่า “อัตราการช่วยเหลือเบื้องต้น” จะแบ่งออกเป็น 3 กรณีใหญ่ๆ ได้แก่ หนึ่ง...กรณีบาดเจ็บ-เจ็บป่วยต่อเนื่อง ช่วยเหลือไม่เกิน 1 แสนบาท สอง...กรณีเสียอวัยวะ-พิการ ช่วยเหลือไม่เกิน 2.4 แสนบาท สาม...กรณีเสียชีวิต-ทุพพลภาพถาวร ช่วยเหลือไม่เกิน 4 แสนบาทพุ่งเป้าไปที่...แนวคิดการชดเชยค่าเสียหายโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิดนั้น ถือเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่ามีประโยชน์ต่อการคุ้มครองและเยียวยาผู้รับวัคซีน รวมทั้งยังกระตุ้นให้คนอยากรับวัคซีนมากขึ้น เดือนมีนาคมที่ผ่านมา “องค์การอนามัยโลก” เองก็ริเริ่มโครงการชดเชยค่าเสียหายระดับนานาชาติทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก บอกว่า โครงการนี้จะลดภาระของผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนโควิด โดยไม่ต้องเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อเรียกร้องค่าชดเชย...แนวคิดชดเชยผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ผ่านมา มีประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก 25 ประเทศ จากทั้งหมด 194 ประเทศ รวมถึงไทยที่ทำโครงการชดเชยความเสียหายจากบริการทางการแพทย์ การรับยา และวัคซีน มาแต่เดิมอยู่แล้วนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. เสริมว่า ในกรณีของผู้ที่มีอาการข้างเคียงชั่วคราว แต่ไม่แน่ใจว่าเข้าข่ายเจ็บป่วยต่อเนื่องหรือไม่ ก็ให้ยื่นเรื่องเข้ามาก่อน อย่าไปตัดสินเอาเองว่าตัวเองเจ็บป่วยต่อเนื่องหรือไม่ อย่างไร นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี“ที่ผ่านมา...คำว่าต่อเนื่องส่วนใหญ่พบว่าเป็นอาการชา ส่วนใหญ่ สปสช.ก็จะจ่ายให้นะ เพราะถือว่าท่านได้รับความเสียหาย คือบางคนชาหนึ่งวัน บางคนชาเป็นเดือนก็มี ระยะเวลาที่ต่างกันออกไปก็จะมีผลต่อการชดเชยที่ต่างกันออกไป ดังนั้น คำว่าเจ็บป่วยต่อเนื่องจึงไม่อยากตัดสินจากเวลา เพราะมีองค์ประกอบอื่น”นพ.จเด็จ ย้ำว่า หากสงสัยว่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด-19 ก็ให้ยื่นเรื่องเข้ามายัง สปสช. โดยสามารถยื่นได้ 3 จุด คือ... โรงพยาบาลหรือสถานที่ที่ได้รับวัคซีนโควิด หรือ... สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่...สำนักงานเขต สปสช. ทั้ง 13 เขตทั่วประเทศ ส่วนเอกสารประกอบมีเพียงการกรอกแบบฟอร์มเท่านั้น เลขบัตรประชาชน สถานที่ฉีด และบัญชีธนาคารกรณีที่ได้รับเงินช่วยเหลือ “ที่พูดอย่างนี้เพราะเราอยากรู้ผลข้างเคียงในทางการแพทย์ เพราะหากเกิดผลข้างเคียงแล้วท่านไม่บอก ไม่แจ้งเข้ามา เราก็จะนึกว่าวัคซีนมันดี ซึ่งจริงๆเราต้องช่วยกันรายงานผลเหล่านี้ไปยังบริษัทผู้ผลิตวัคซีน เพื่อให้เขาปรับปรุงต่อไปในอนาคต ดังนั้นขอย้ำอีกครั้งว่า ให้ยื่นเรื่องเข้ามาแล้วจะมีผู้เชี่ยวชาญไปดูให้ แล้วถ้าผลออกมาว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เป็นไร จ่ายแล้วก็จ่ายไป แต่ได้ประโยชน์ทางการแพทย์อยู่”“วัคซีนโควิด-19” เป็นเรื่องใหม่ที่ต้องศึกษาและเก็บข้อมูล เป็นเรื่องสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องติดตาม เฝ้าระวัง เยียวยาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ว่ากับใครก็ตาม.