ประเด็นแนวทางการรับมือ “โควิด-19 ระบาดระลอก 3” ที่กำลังมีความรุนแรงอยู่นี้ “การฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว” จึงเป็นทางออกในการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโรค และยุติวิกฤติอันยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่าปีนี้ได้ดีที่สุดทราบกันดีว่า “วัคซีน” สามารถลดการแพร่กระจายโรคได้ดีที่สุดแล้วยังช่วยลดความรุนแรงของโรคด้วย ในภาวะ “ประเทศไทย” เผชิญการระบาดอย่างหนักขณะนี้จำเป็นต้อง “ปูพรมฉีดวัคซีน” กระจายให้ได้มากที่สุด...ปัญหามีอยู่ว่า “ประชาชน” กลับไม่เชื่อมั่นสมัครใจเข้ารับ “ฉีดวัคซีน” จากการขาดข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน ทำให้รู้สึกกังวลกลัววัคซีนบางยี่ห้อเกี่ยวกับ “ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ” ในการป้องกัน สังเกตจาก “เฟซบุ๊กหมอพร้อม” เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้สูงอายุ 11.7 ล้านคน และผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง 4.3 ล้านคน ผ่านมาแล้วหลายวันยอดจองคิวก็ยังไม่เป็นไปตามเป้า ในวันที่ 18 พ.ค. มียอดจองสะสม 6,949,737 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 750,252 ราย และต่างจังหวัด 6,199,485 รายแม้ว่า “รัฐบาล” ต่างออกมายืนยัน “วัคซีน” นำเข้าทุกชนิดมีประสิทธิภาพ ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ที่ถูกใช้กันแพร่หลาย “มีผู้ฉีดไปแล้วหลายสิบล้านคน” ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ยืนยันว่า วัคซีนโควิดทุกชนิดป้องกันการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์โอกาสการเกิดผลข้างเคียงนั้นมีน้อยมาก หากเปรียบเทียบกันกับโอกาสในการติดเชื้อโควิด-19 แล้วเสียชีวิตจากโรคนี้นั้นมีสูงกว่าการฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงหลายพันเท่าเหตุนี้จำเป็นต้องเปิดเผย “ข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา” ให้ประชาชนพิจารณาความเสี่ยง และคุณประโยชน์จากการฉีดวัคซีนนี้ มิเช่นนั้น “การลงทะเบียนกลุ่มประชาชนอายุ 18-59 ปี” อาจไม่เป็นตามเป้าเช่นกัน ที่เริ่มเปิดจองคิวตามสิทธิ์โรงพยาบาล วอล์กอินตามประกาศจังหวัด และหมอพร้อมในวันที่ 31 พ.ค.นี้ ตามกระแสความกังวลผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนนี้ “ทีมสกู๊ปหน้า 1” สำรวจความคิดของประชาชนในความมั่นใจรับการฉีดวัคซีนครั้งนี้อย่าง “อิ้ง” พนักงานการตลาด บริษัทเอกชน อายุ 41 ปี บอกว่าสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ค่อนข้างน่ากลัวมาก ส่งผลให้การใช้ชีวิตเผชิญกับความระแวงอยู่ตลอด ต้องหลีกเลี่ยงออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น เพราะในครอบครัวมีผู้สูงอายุอาศัยร่วมอยู่ด้วยหลายคนจนปลายเดือน เม.ย.ได้พบ “ลูกค้าภายหลังทราบติดเชื้อโควิด-19” ต้องถูกกักตัว 14 วัน นับแต่นั้นต้องป้องกันตัวเองเคร่งครัด เน้นพบเฉพาะ “ลูกค้าสำคัญ” ก่อนเข้าบ้านล้างมือ รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้ “การใช้ชีวิตมีต้นทุนสูงขึ้น” ต้องซื้อสิ่งป้องกันเชื้อโรค เช่น หน้ากากอนามัยเปลี่ยนทิ้งทุก 6 ชม. เจลแอลกอฮอล์ 2 ชนิด คือ แบบล้างมือ และแบบทำความสะอาดวัสดุ แต่ไม่นานมานี้ไปตลาดแห่งหนึ่ง กทม. ปรากฏพบ “คนตั้งวงดื่มสุราอย่างสบายใจ” ซึ่งเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำให้เสียความรู้สึกอย่างมากประเด็น “การฉีดวัคซีน” อันเป็นความหวัง “คนไทย” กลับมีข้อกังวลต่อผลข้างเคียง เพราะไม่มีใครการันตีเกี่ยวกับประสิทธิภาพ และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นชัดเจน ทำให้รู้สึกมีโอกาสเสี่ยงแพ้วัคซีนได้เสมอสาเหตุจาก “ข้อมูลวัคซีน” ออกมาหลายทิศทาง จนรู้สึก “สับสนหวั่นไหว” แต่ว่า “ส่วนตัวยินดีฉีดวัคซีนอยู่แล้ว” ไม่ว่าจะเป็น “วัคซีนซิโนแวค หรือแอสตราเซเนกา” เพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดในสถานการณ์เช่นนี้ และก็เชื่อว่าวัคซีนทุกชนิดมีประสิทธิภาพลดความรุนแรงของโรคได้ดี แต่อยากให้รัฐบาลการันตีความปลอดภัยด้วย มิใช่ลงชื่อฉีดเกิดผิดพลาดก็ไม่รับผิดชอบใดๆเช่นเดียวกับ แม่ประสพ อายุ 75 ปี ชาว จ.ศรีสะเกษ ลงทะเบียนรับฉีดวีคซีนเดือน มิ.ย. ยอมรับว่า ก่อนลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนก็ “นอนคิดทบทวนหลายคืน” เพราะกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง มักปรากฏตามข่าวมี “ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน” เกิดผลข้างเคียงตั้งแต่อาการเล็กน้อยจนถึงระดับอาการรุนแรงกลายเป็นการตอกย้ำให้ “ขาดความมั่นใจในประสิทธิภาพ” ไม่กล้าฉีดวัคซีนครั้งนี้ แต่ด้วยการระบาดระลอก 3 ค่อนข้างรุนแรงจาก “ยอดผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิต” เพิ่มสูงต่อเนื่อง และไม่นานนี้ “ลูกหลานที่รับราชการ” ก็เพิ่งเข้ารับฉีดวัคซีนกันมาหลายคน แต่ก็ไม่มีอาการผลข้างเคียงใดๆ ทำให้เริ่มอุ่นใจขึ้นตามมาอีกทั้งเท่าที่ติดตามข่าวสาร “ผู้มีผลข้างเคียงมักเป็นอาการเล็กน้อย” หากเทียบกับผลประโยชน์โดยรวมที่ได้รับจากวัคซีนถือว่า “คุ้มค่าต่อรักษาชีวิต” เพราะตัวเองอายุ 75 ปีแล้วหากต้องติดเชื้อโควิด-19 โอกาสมีชีวิตรอดก็น้อยเช่นกัน ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจึงตัดสินใจลงทะเบียนฉีดวัคซีนในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ขณะที่ “นิติวัฒน์” อายุ 35 ปี โฟร์แมนบริษัทเอกชนควบคุมไซต์งานก่อสร้าง จ.ชลบุรี บอกว่า การระบาดครั้งนี้รุนแรงน่ากลัวมากเสมือน “เชื้อไวรัสกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวทุกที” ทั้งยังคุมไซต์งานอยู่พื้นที่สีแดง และต้องสัมผัสคนงานต่างชาติตลอด ทำให้รู้สึกกังวลการติดเชื้อมากกว่าผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเพราะเชื่อมั่นว่า “การฉีดวัคซีนย่อมมีประโยชน์ดีที่สุดในการป้องกันโรคระบาด” แม้มีกระแสข่าวเกี่ยวกับผลข้างเคียงอยู่บ้างก็เป็นเพียงกลุ่มน้อย ที่ไม่อาจทำให้หวั่นไหวในความตั้งเป้าฉีดวัคซีนป้องกัน จริงๆแล้ว... “นอนนับวันรอลงทะเบียนฉีดด้วยซ้ำ” เพราะต้องออกทำงานมีโอกาสเสี่ยงติดโควิด-19 “นำเชื้อไปสู่ครอบครัว” ดังนั้น “ขอฉีดวัคซีนป้องกันก่อนดีกว่าแก้กันทีหลัง” ที่ไม่คุ้มค่าเกิดขึ้นก็ได้ผศ.ดร.สิงห์ สิงห์ขจร ประธานหลักสูตรดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชานวัตกรรมการจัดการการสื่อสาร มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา บอกว่า คนไทยขาดความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก “ความเชื่อถือต่อภาครัฐ” เพราะประชาชนเข้าถึงข่าวสารหลากหลายกว่าอดีต มีทั้งข้อมูลลึกรู้จริงที่มีความน่าเชื่อถือเต็มไปหมดตอกย้ำการนำ “ข้อมูลวัคซีนในไทย” มาเปรียบเทียบ “วัคซีนชนิดอื่น” ถูกผลิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะวัคซีนในกลุ่มประเทศตะวันตก ต่างมีกระแสยอมรับด้านประสิทธิภาพ และความปลอดภัยสูง กลายเป็นทางเลือกให้คนเกิดการตั้งคำถามขึ้นมามากมาย อันมีจุดประสงค์ต้องการวัคซีนที่ดีกว่าที่มีอยู่ขณะนี้ดังนั้น “การสื่อสารจะมีความสำคัญ” ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ “คนไทย” กล้าตัดสินใจเข้าถึงวัคซีนได้มากยิ่งขึ้นก็ได้เรื่องนี้ก็มีความเห็นส่วนตัวเชื่อมั่นว่า “วัคซีนถูกผลิตขึ้นในเอเชีย” น่าจะถูกพิสูจน์ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง “คนเอเชีย” ทำให้มีความเหมาะสมกับคนแถบนี้เป็นหลักสำคัญ ในส่วน “วัคซีนชาติตะวันตก” แม้มีประสิทธิภาพดี แต่ผลทดสอบจาก “คนยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา” ที่พันธุกรรมแตกต่าง “คนเอเชีย” ค่อนข้างมาก แต่ด้วย “ประเทศไทย” มีวัคซีนจำกัด และไม่มีให้เลือกเองได้หลากหลาย ดังนั้น “การจัดสรรวัคซีน” ให้เหมาะสมกับ “บุคคล” ควรเป็นหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในการหยุดการระบาดของโรค ถ้ามีการนำเข้า “วัคซีนชนิดอื่น” อันมีทางเลือกมากกว่านี้ก็ค่อยไปฉีดกันภายหลังก็ยังไม่สายเพราะเชื่อว่า “วัคซีนทุกชนิด” ทั้งผลิตในเอเชีย หรือชาติตะวันตกย่อมมีประโยชน์มากในสถานการณ์ระบาดโควิด-19 มีแนวโน้มรุนแรงสูงขึ้นเช่นนี้จึงอยากให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันก่อนยืนยันว่า “ส่วนตัววินาทีนี้พร้อมฉีดวัคซีนเกินร้อยเปอร์เซ็นต์” ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม เพราะครอบครัวมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่หลายคน โดยเฉพาะ “คุณพ่อ อายุ 80 ปี” ทำให้รู้สึกเป็นห่วงหากเราติดโควิด-19 อาจนำเชื้อเข้าสู่ครอบครัวก็ได้ ทั้งยังให้ “คุณพ่อ” ลงทะเบียนจองคิวฉีดในวันที่ 7 มิ.ย.นี้แล้วด้วยซ้ำวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 จะสงบลงควบคุมได้นั้น “คนไทย” ต้องร่วมสมัครใจเข้ารับ “การฉีดวัคซีนป้องกัน” เพื่อเกิดภูมิคุ้มกันทำให้ “ทุกชีวิต” มีความปลอดภัยได้กลับมาสู่ภาวะปกติดังเดิมโดยเร็ว.