แม้ว่า “ประเทศไทย” ไม่ใช่ศูนย์กลางแผ่นดินไหว แต่ระบบเฝ้าระวังในประเทศ และใกล้เคียงล่าสุด ยังมีรายงานการตรวจจับเหตุ “สั่นสะเทือนขนาดเล็กและขนาดกลาง” อันเกิดขึ้นตามพื้นที่ภาคเหนือ และประเทศเพื่อนบ้าน ที่แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์อยู่เสมอ กลายเป็นสัญญาณ “เตือนภัย” โอกาสต้องเผชิญ “ภัยพิบัติ” ใกล้เข้ามาทุกทีด้วยเหตุปัจจัย “เมืองไทย” ต่างมี “รอยเลื่อนแตกแขนง” กระจายอยู่ตามพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ มากมาย ทั้งยังล้อมรอบด้วย “แผ่นเปลือกโลก” ที่ได้สะสมพลังงานมานานพร้อมปลดปล่อยได้ทุกเมื่อเช่นกันทำให้เหตุแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะเกิดขึ้นทีไรก่อความเสียหายเสมอ ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ให้ข้อมูลว่า ตามการศึกษา “รอยเลื่อนในประเทศไทย” ได้มีข้อมูลรอยเลื่อนเรียงตัวลักษณะใด และการเคลื่อนตัวก่อเกิดแผ่นดินไหวระดับใดได้บ้างแต่ว่า...“รอยเลื่อนมีศักยภาพเกิดแผ่นดินไหว” กระจายในหลายพื้นที่ ทั้งรอยเลื่อนมีบนแผนที่แล้ว และไม่ปรากฏร่องรอยบนผิวดินเลย โดยเฉพาะ “ภาคเหนือ” และ “ฝั่งด้านภาคตะวันตกของประเทศ” เช่น จ.กาญจนบุรี มักเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5 ที่ยังมีโอกาสเกิดขนาด 5.0-5.9 จัดให้เป็นแผ่นดินไหวอันตรายแล้วด้วยซ้ำอีกทั้ง จ.กาญจนบุรี ตั้งอยู่ใกล้ “รอยเลื่อนสะแก” ที่เป็นรอยเลื่อนขนาดใหญ่มาก มีแนวยาวจากทางเหนือของเมียนมายาวไปทะเลอันดามัน จนถึงระดับละติจูดเดียวกับกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นรอยเลื่อนเกิดขึ้นบ่อยมาก และมีโอกาสก่อให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ระดับขนาด 7-8 ได้ ในระยะห่างจาก “เมืองหลวง” ประมาณ 200 กม.ทว่า...แนวอันตรายมากที่สุด คือ “แผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน” ตามแนวรอยต่อของเปลือกโลก เป็นแนวเดียวกัน “การเกิดแผ่นดินไหวสึนามิ 2547” คราวนั้นมีขนาด 9.2 จากการไถลตัวรอยต่อแผ่นเปลือกโลก ระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย ตั้งอยู่ฝั่งด้านประเทศไทย ชนปะทะแผ่นเปลือกโลกอินเดียออสเตรเลีย ฝั่งด้านประเทศอินเดียกรณีกังวลเกิดซ้ำอีก คือ รอยต่อแผ่นเปลือกโลกนี้เคลื่อนไถลตัวมาชนปะทะกันจากฝั่งทางเหนือลงฝั่งด้านใต้ของประเทศเมียนมา เริ่มการไถลตัวจากด้านฝั่งตะวันตกของเมียนมา ชนปะทะจุดเชื่อมต่อในบริเวณทะเลอันดามัน จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9 สามารถส่งผลกระทบต่อ “กรุงเทพฯและปริมณฑล” ได้แน่นอนหนำซ้ำ...แนวลักษณะไถลเคลื่อนตัวจากเหนือลงใต้นี้ ไม่เคยระเบิดมาหลายร้อยปี ล่าสุดเกิดแผ่นดินไหวขึ้นราว 300 ปีก่อน ทำให้สะสมพลังงานอย่างมหาศาล เพื่อรอระเบิดเองได้ตลอดเวลา เพราะรอยต่อแผ่นเปลือกโลก มักก่อแผ่นดินไหวขนาด 9 ส่วนรอยเลื่อนในประเทศไทยสามารถเกิดระดับขนาด 6-7 ตามลำดับ...ด้วยเหตุนี้ “กรุงเทพฯและปริมณฑล” ย่อมมีความเสี่ยงมากพิเศษ เพราะตั้งบน “พื้นที่ดินอ่อน” ลักษณะ “แอ่งกระทะขนาดยักษ์” ครอบคลุมกินพื้นที่ 14 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา นนทบุรี นครปฐม นครนายก เพชรบุรี ปราจีนบุรี ปทุมธานี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ กรุงเทพฯ และชลบุรีลักษณะธรณีวิทยาแบบนี้มีคุณสมบัติขยายความรุนแรงแผ่นดินไหวได้ถึง 5.5 เท่า ในพื้นที่ดินอ่อนที่สุด เช่น ฉะเชิงเทรา สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ มีกำลังขยายคลื่น 3-4 เท่า ในส่วน “พื้นดินแข็ง” เช่น จ.เพชรบุรี นครนายก และชลบุรี มีกำลังขยายคลื่นแผ่นดินไหวประมาณ 2-3 เท่าผลกระทบของ “แผ่นดินไหว” ส่งผลต่อพื้นที่ “แอ่งกระทะขนาดยักษ์” มีลักษณะเกิดคลื่นเคลื่อนตัวไปมาแบบช้าๆ ค่อนข้างเป็นจังหวะใช้เวลาครบรอบ 1-2 วินาที ทำให้มีการสั่นสะเทือนแบบช้าๆ ที่ดูเหมือนไม่รุนแรง แต่มีผลต่ออาคารสูงตั้งแต่ 20 ชั้นขึ้นไป แต่จะไม่ค่อยมีผลต่ออาคารขนาดเล็กเท่าไหร่ ทำให้ต้องมีกฎหมายควบคุมอาคารออกบังคับในพื้นที่เสี่ยง 20 จังหวัด เพื่อให้ออกแบบสิ่งก่อสร้างสามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้ ในปี 2557 ก็ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ขนาด 6.3 มีผลให้อาคารสูงในกรุงเทพฯ รับรู้สึกสั่นไหวหลายจุด เพราะ “ชั้นดินอ่อน” มีคุณลักษณะขยายแรงสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้นถึง 3-4 เท่าเมื่อเป็นเช่นนี้ “ภาครัฐ” ได้ปรับปรุงร่างกฎหมายควบคุมอาคารฉบับใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงเกิดแผ่นดินไหว 40 จังหวัด เน้นกำหนดประเภทอาคารออกแบบ โครงสร้างอาคาร และปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทน ในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวให้มีความทันสมัยความปลอดภัยต้องเข้าใจว่า...“แผ่นดินไหวในโลก” มีปัจจัยจากการเคลื่อนตัวเปลือกโลก 95% ฉะนั้นแผ่นดินไหวทั้งหลาย มักเกิดบริเวณรอยต่อแผ่นเปลือกโลก อีกทั้งในแผ่นเปลือกโลกนี้ก็มีรอยแตกร้าว ที่เรียกว่า “รอยเลื่อน” แต่ประเทศที่ตั้งอยู่ตำแหน่งรอยต่อแผ่นเปลือกโลกนี้ คือ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวกันแบบเต็มๆในส่วน “ประเทศไทย” ไม่ได้ตั้งอยู่จุดของรอยต่อแผ่นเปลือกโลก แต่ก็ตั้งอยู่ตำแหน่งที่มี “รอยเลื่อน” กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ภาคเหนือ ฝั่งตะวันตก และภาคใต้ ที่มีอัตราการเคลื่อนตัวต่างกันไป ถ้าหากเปรียบเทียบระดับความรุนแรงตามมาตรฐานสากล “รอยเลื่อนในไทย” ยังมีระดับการเกิดแผ่นดินไหวค่อนข้างต่ำนั่นหมายความว่า “รอยเลื่อนในไทย” มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 7 ขึ้นไปสักครั้ง อาจต้องรอหลายร้อยปี หรือบางรอยเลื่อนต้องรอนานหลายพันปีก็มี ที่มีรัศมีการทำลาย 30 กม. ส่วนความรุนแรงระดับขนาด 6 โอกาสเกิดได้ทุก 30-40 ปี รัศมีทำลาย 20 กม. เช่น ในปี 2557 แผ่นดินไหวขนาด 6.3 ศูนย์กลาง ต.ทรายขาว อ.พาน จ.เชียงราย ทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเป็นวงกว้างราว 1 หมื่นหลัง และอาคารอันตราย 400 หลังระดับขนาด 5 ก็มีโอกาสเกิดได้ทุก 5 -10 ปีต่อครั้ง และในประเทศไทย มักเกิดอยู่บ่อยๆ มีรัศมีการทำลายประมาณ 10 กม. แต่การทำลายล้างของแผ่นดินไหวนี้ต้องขึ้นกับพื้นที่ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเกิดในป่าในเขาก็ไม่สามารถทำลายอะไรได้ ยกเว้นเกิดขึ้นบริเวณชุมนุมใหญ่ หรือหัวเมือง ย่อมทำลายอาคารบ้านเรือนได้แน่นอนตัวอย่างเช่น...ในปี 2537 เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 5.1 อ.พาน จ.เชียงราย ในปี 2538 ก็เกิดขึ้น อ.ร้องกวาง จ.แพร่ ขนาด 5.0 และ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ขนาด 5.2 และปี 2549 เกิดขึ้นที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มีระดับขนาด 5.1 ถ้าเป็นแผ่นดินไหวขนาด 1-2 มักจะเกิดขึ้นถี่บ่อยประจำอยู่แล้ว จริงๆแล้ว...“คนไทย” กำลังเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหว มองว่า “จุดใดเกิดแผ่นดินไหวมักไม่เกิดซ้ำ” นับเป็นสิ่งเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะ “แนวรอยเลื่อน” มักมีความยาวมาก ในตำแหน่งใดเคยเกิดแล้วก็คงต้องรอการสะสมพลังงานใหม่ แต่อย่าลืมว่ายังมีหลายจุดบริเวณที่ยังไม่ได้เกิดการระเบิดขึ้นตามแนวรอยเดิมนี้โดยเฉพาะการเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กระดับขนาด 1-2 ที่ไม่ได้เป็นอันตรายมาก แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะเป็นตัวชี้ว่า “แผ่นดินไหวขนาดเล็ก” กระจุกอยู่บริเวณจุดนั้น ย่อมมีโอกาสขยายตัวเป็นการเกิดแผ่นดินไหวในระดับขนาดกลางและขนาดใหญ่แฝงอยู่ตามแนวรอยเลื่อนนี้ก็ได้ กลายเป็นพื้นที่มีความอันตรายด้วยซ้ำดังนั้น...“ประเทศไทย” มีโอกาสรับความเสี่ยงจากผลกระทบการเกิดแผ่นดินไหว แบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ กรณีแรก...การเกิดแผ่นดินไหว ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ระดับขนาด 7-8 มีระยะห่างจากกรุงเทพฯ 200 กม. เพราะหลายสิบปีก่อนก็เคยเกิดขนาด 5.9 มาแล้ว กรณีที่สอง...แผ่นดินไหวรอยเลื่อนสะแก สามารถเกิดระดับขนาด 7-8เพราะเป็นรอยขนาดใหญ่ผ่ากลางเมียนมาต่อเนื่องมาทะเลอันดามัน อยู่ห่างกรุงเทพฯ 400 กม.มีประวัติเกิดบ่อยครั้งเช่นกัน กรณีที่สาม...การชนกันของแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย และอินเดียออสเตรเลีย จากด้านเหนือลงมาฝั่งใต้เมียนมา มีจุดเชื่อมต่อในทะเลอันดามันนี้อย่างไรก็ดี...“พื้นที่ที่มีความปลอดภัย” มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวน้อยมากๆ คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และฝั่งตะวันออก เพราะมีสภาพธรณีวิทยาค่อนข้างปกติ ที่ตั้งห่างแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวมากพอสมควร ส่วน “พื้นที่เสี่ยงสูง” ได้แก่ ภาคเหนือ และฝั่งตะวันตกของประเทศไทย รองลงมา ภาคกลาง กรุงเทพฯ และภาคใต้...เรื่อง “แผ่นดินไหว” นับว่า “ยังมีความเสี่ยงต่ำ” ถ้าหากเกิดแต่ละครั้งย่อมทำลายล้างได้อย่างมหาศาล...ด้วยเหตุนี้ “อย่าประมาท” ต้องตระหนัก และเตรียมพร้อมรับมือไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นดีที่สุด...