จ่ายคนละครึ่งรากหญ้าแฮปปี้ก็ถือเป็นข่าวดีของไทย คุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ แถลงตัวเลข จีดีพีไตรมาส 3 ติดลบ 6.4% น้อยกว่าที่คาด ฟื้นตัวจากไตรมาส 2 ที่ติดลบถึง 12.1% ทำให้จีดีพี 9 เดือนแรกปีนี้ติดลบ 6.7% คาดว่าจีดีพีปี 2563 จะติดลบเพียง 6% น้อยกว่าเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 7.3-7.8% และคาดว่าจีดีพีปี 2564 จะขยายตัวระหว่าง 3.5-4.5% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 4% เป็นตัวเลขที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเวลานี้ตัวเลขจีดีพีที่ดีขึ้นเป็นผลมาจากการส่งออกที่ดีขึ้น ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของจีดีพี แสดงว่าเอกชนไทยเก่งมาก แม้จะมีสงครามการค้าจีนสหรัฐฯ การกีดกันทางการค้าสูง ก็ยังส่งออกได้ดีคุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีคลัง ก็ยืนยันว่า แม้จีดีพีปีนี้ยังติดลบ แต่ปีหน้าจะขยายตัวเป็นบวกราว 4% พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า การใช้จ่ายของประชาชนติดลบเพียง 0.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ถือว่าลดลงน้อยมาก แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 2 ก็บวกขึ้นมาถึง 6.3% การลงทุนภาครัฐก็บวกขึ้นมา 18% เป็นเครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจของเราพื้นฐานดี ปัจจุบันเหลือเพียงเครื่องยนต์ตัวเดียว คือการท่องเที่ยว ถ้าเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าได้ เชื่อว่าเศรษฐกิจปีหน้าบวกได้ 4% แน่นอนแต่ ปัญหาใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยดีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ก็คือ ระบบราชการไทย ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้า คุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท ที่ขออนุมัติจาก ครม.ไปแล้ว 120,000 ล้านบาท จนถึงบัดนี้ หน่วยราชการต่างๆเพิ่งเบิกจ่ายจริงเพียง 9,700 ล้านบาท ไม่รู้วันๆนั่งทำอะไรกัน เพราะผ่านมาครึ่งค่อนปีแล้ว ยังเหลือเงินกู้ที่ไม่มีการขอใช้อีกกว่า 280,000 ล้านบาท เงินสำรองในธนาคารอีก 2-3 ล้านล้านบาทประเทศไทยวันนี้มีเงินล้นประเทศ แต่รัฐบาลบริหารจัดการไม่เป็น กลไกประเทศกลายเป็น “ระบบรัฐราชการ” ไปหมด ทำให้ทำงานยาก ข้าราชการไม่อยากติดคุก เพราะผิดระเบียบเล็กๆน้อยๆ สตง.ก็ยุ่มย่ามไปหมด ทำให้โครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนไม่สามารถเดินหน้าได้ แต่โครงการที่ส่อไปในทางไม่สุจริต น่าแปลกที่ สตง.ไม่ค่อยยุ่มย่ามตรวจสอบเท่าไหร่ เช่น ถนนมอเตอร์เวย์โคราช ที่ก่อสร้างไปหลายปีแล้วเจอบึงขนาดใหญ่ขวางทาง ต้องของบเพิ่มกว่า 6 พันล้านบาท เพื่อออกแบบก่อสร้างเพิ่มเติม ทำให้โครงการล่าช้าไปอีก 2-3 ปี โจ๋งครึ่มขนาดนี้ ก็ไม่เห็นมีข่าวว่า สตง.ไปดำเนินการอะไรแต่ทำดีผมก็มีชม โครงการหนึ่งของรัฐบาลที่ผมขอแสดงความชื่นชมไว้ตรงนี้ เพราะได้ยินเสียงชมจากประชาชนรากหญ้ามาเต็มสองหูก็คือ “คนละครึ่ง” ตัวเลขล่าสุดมีประชาชนใช้จ่ายผ่านโครงการนี้แล้วกว่า 8 ล้านคน มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 680,000 ร้านค้า มีการใช้จ่ายสะสมราว 14,000 ล้านบาท ประชาชนจ่ายราว 7 พันล้านบาท รัฐจ่ายอีกราว 7 พันล้านบาทผมเพิ่งไป หาดใหญ่ ช่วงนี้ การท่องเที่ยวโดยคนไทยใน 4 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างเริ่มฟื้น ยะลา สตูล ปัตตานี สงขลา ราคายาง ขึ้นไปอยู่กิโลละ 60 กว่าบาท ราคาปาล์มก็ขึ้นไปกิโลละ 7 บาท คนขับรถตู้เล่าให้ฟังว่า ตัวเองได้สิทธิคนละครึ่ง คุ้มมากๆ ปกติทำงานกินข้าวนอกบ้านวันละสองมื้อราว 80-100 บาท ก็จ่ายแค่ 40-50 บาท คนที่บ้านก็ได้สิทธินำเงินไปซื้ออาหารเข้าบ้าน ร้านก๋วยเตี๋ยวข้าวแกงร้านไหนไม่มีคนละครึ่งคนไม่เข้าโครงการนี้จึงไปถึงรากหญ้าจริงๆ ช่วยลดค่าใช้จ่ายประจำวัน ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็ก ร้านก๋วยเตี๋ยวข้าวแกงมีอาชีพอยู่ได้ และเกิดการจ้างงานด้วยถ้าขายดีนานๆจะมีเรื่องดีๆชมรัฐบาลสักที ผมยังเห็นด้วยที่ คุณกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เสนอให้เปิด คนละครึ่งเฟส 2 ผมว่า ปี 2564 ควรทำโครงการคนละครึ่งไปทั้งปีเลย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะ ลงถึงรากหญ้าจริงๆทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย.“ลม เปลี่ยนทิศ”