ในช่วงหน้าฝน “คนชุมชนเมือง” มักต้องผวากับการเผชิญเหตุ “งูเลื้อยโผล่” ออกจากชักโครกฉกทำร้ายเจ้าของบ้านที่มีแนวโน้มเกิดถี่รายวัน เพราะ “คน” เข้าไปรุกล้ำที่อยู่อาศัยของ “งู” เพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่านั้น...“ภาคกลาง” มีลักษณะ “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ทำเกษตร ปลูกข้าว และทำสวน กลายเป็นแหล่งอาศัยของ “งู” นานาชนิดมากที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะ “เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล” แม้มี “ความเจริญของเมือง” ถูกขยายตัวเป็น “คฤหาสน์ บ้านเรือน และตึก” ที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงเป็นพื้นที่พักอาศัยแต่ใต้พื้นดินมีโพรงอยู่มากมาย...ทั้งเขตเมืองยังเป็นแหล่ง “แพร่พันธุ์หนู” อาหารชั้นเลิศของ “อสรพิษ” เมื่อมีปัจจัยสำคัญนี้ย่อมดึงดูดงูเจ้าถิ่นอาศัยอยู่ใต้โพรงออกมาหาอาหารเข้าบ้านคนตามมา ตามสถิติ...สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รับแจ้งเหตุ “งูเข้าบ้าน” ในปี 2558 จำนวน 24,559 ตัว ปี 2559 จำนวน 29,919 ตัว เฉลี่ย 100-140 ตัวต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 สำหรับงูพบมากที่สุด คือ งูเหลือม งูเห่า งูเขียว งูเขียวพระอินทร์ งูทางมะพร้าว ขณะที่งูจับได้ยาวเฉลี่ย 2-3 เมตร และใหญ่สุด 5-6 เมตรย้ำว่า...พื้นที่เจอเยอะสุด...1.เขตบางเขน 2.เขตจตุจักร 3.เขตสวนหลวง 4.เขตบางขุนเทียน 5.เขตบึงกุ่ม ทำให้นับวัน “คนกรุง” ต้องเผชิญ “อสรพิษ” โดยเฉพาะงูใหญ่อย่าง งูเห่า งูเหลือม งูหลาม มากขึ้นสาเหตุงูบุกบ้านคนนี้ “พี่นิค”–นิรุทธ์ ชมงาม หรือ Nick Wildlife ผู้เชี่ยวชาญเรื่องงูของประเทศไทย ไขข้อสงสัยให้ฟังว่า ตามธรรมชาติ “การเจองูบ่อยๆ” มักมีความเกี่ยวสัมพันธ์กับ “ฤดูฝน” เพราะมีความชุ่มชื้นค่อนข้างสูง ที่จะนำพาสัตว์ประเภท “กบ เขียด คางคก” ออกหาแมลงกินเพื่อดำรงชีวิต การออกมานี้ถือว่า “เป็นเหยื่อของงู” เสมือนเป็นช่วง “ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล” ทำให้ “บรรดางูทั้งหลาย” ต่างหาล่าสัตว์กลุ่มนี้เช่นกัน เมื่อมีการออกมามากก็มักเจอกับ “คน” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนมีกระแสข่าวงู เข้าบ้าน หรือโผล่จากชักโครก ในบางครั้งก็ “ทำร้ายคน” ด้วยซ้ำ เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่ที่เกิดถี่ขึ้นทุกวันสาเหตุ...“อสรพิษ” เข้าบ้านคนได้นี้เพราะตามธรรมชาติ “งู” เป็นสัตว์มีชีวิตอาศัยอยู่แนวระนาบพื้นโลก มีการเคลื่อนไหวเลื้อยไปตามเส้นทางต่างๆ ถ้าหาก “เจอซอกรู” จะมีสัญชาตญาณต้องเข้าไปสำรวจอยู่ตลอด เช่น กรณีงูเข้าไปใน “ชักโครก” มักเข้าตามช่องท่อบ่อพักของเสีย ที่เกิดการชำรุดจากพื้นดินทรุดตัวทำให้มี “รู” ส่งผลให้สัตว์ประเภท “หนู กบ คางคก” เข้าไปใช้ชีวิตในนี้ก่อน กลายเป็น “เหยื่อล่ออสรพิษ” ตามเข้าไปกินสัตว์กลุ่มนี้ ในบางครั้ง “สัตว์เหยื่อ” ก็อาจหนีออกจากรูท่อบ้านไปแล้ว ทำให้ “งู” เลื้อยเข้ารูมาเรื่อยๆ จนโผล่ชักโครกห้องน้ำ ที่มักเป็นงูเห่า งูเหลือม และงูหลาม แม้เป็น “งูตัวใหญ่” แต่สามารถรีดตัวให้เล็กลงได้ส่วนงูที่ชอบเข้าอยู่รอบบ้านคืองูทางมะพร้าว งูสิง งูหลาม งูเขียวพระอินทร์ งูเขียวหางไหม้ จริงๆแล้ว...“พื้นที่มีเหตุงูโผล่ในบ้าน” ที่มีความถี่บ่อยนี้คงต้องเป็นใน “เขตกรุงเทพฯ” ตามสถิติ ปภ.กทม.สามารถจับงูได้วันละไม่ต่ำกว่า 100 ตัว หรือไม่ต่ำกว่า 3,000 ตัวต่อเดือน ดังนั้น “กรุงเทพฯ” ถือว่า เป็นแหล่งอาศัยของ “อสรพิษชุกชุมมากที่สุดของประเทศไทย” เพราะมีความชุ่มชื้นของแหล่งน้ำล้อมรอบพื้นที่อีกทั้งยังเป็น “แหล่งชุมชนเมืองใหญ่” มีหนูอาศัยอยู่จำนวนมาก ทำให้เหมาะกับการเป็นแหล่งที่อยู่อสรพิษตามมา โดยเฉพาะงูเห่า งูเหลือม มักตามกลิ่นหนูมาอยู่ตามบ้านเรือนและทุกที่ที่มีหนูอยู่ต้องเข้าใจว่า...“งูมีอายุยาว 20–30 ปี” สามารถวางไข่ปีละหลายครั้ง ครั้งละ 20-60 ฟอง ในช่วง “ตัวเล็ก” ก็กินหนูเป็นอาหาร เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะกินแมว สุนัข ทำให้ “เขตเมือง” มีอาหารอุดมสมบูรณ์ที่ไม่มีสัตว์ผู้ล่า เช่น ตัวเงินตัวทอง พังพอน และนกผู้ล่า ส่งผลให้ขยายแหล่งอาศัยเป็นวงกว้างอยู่ทั่วทุกพื้นที่ กรุงเทพฯจึงล้นอย่างรวดเร็วแม้ว่า...“เขตกรุงเทพฯ” มีการขยาย “ตัวเป็นเมือง” เปลี่ยนแปลงแหล่ง “อยู่งู” จนโยกย้ายแหล่งอาศัยใหม่มาอยู่ “ใต้โพรงซอกปูน หรือโพรงใต้บ้าน” ที่นับวันยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นมาก สามารถโผล่เข้าบ้านคนได้ทุกเมื่อ“ตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธี หรือมีสารเคมีชนิดใด ใช้ป้องกันไม่ให้งูเข้าบ้านได้ เพราะเคยทดสอบพิสูจน์ความเชื่อหลากหลายวิธีแล้ว ทั้ง ปูนขาว กำมะถัน ขี้เถ้า น้ำมันเครื่อง สุดท้ายก็ไม่เกิดผลไล่งูได้เลย ยกเว้นการป้องกันด้วยการทำบ้านให้สะอาด ตัดหญ้ารอบบ้านให้สั้น เพื่อไม่สร้างที่อาศัยแหล่งอาหารของงู เช่น หนู แมว สุนัขด้วย” พี่นิค ว่าในส่วน...“การป้องกันอสรพิษ” ส่วนใหญ่จัดการด้วยวิธีการจับ และผลักดันออกนอกพื้นที่เขตกรุงเทพฯ หรือชุมชนเมือง แต่มีปัญหาอยู่ว่า...ไม่มีสถานที่เหมาะสมในการปล่อย เพราะ “งู” บางชนิดก็เป็นสัตว์ดุร้ายอันตราย จะนำไปปล่อยใกล้แหล่งชุมชนก็ไม่ได้ และบางชนิดเป็นสัตว์คุ้มครอง ต้องจัดการตามระบบกฎหมายประการต่อมา...“ประเทศไทย” มีพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ไพศาลอยู่มากก็จริง แต่เชื่อหรือไม่ว่าไม่อาจรองรับจำนวน “งู” ที่สามารถจับเพิ่มขึ้นได้เดือนละ 2,000-3,000 ตัว อีกทั้งกระบวนการปล่อย “งู” จะต้องสำรวจก่อนว่า ในพื้นที่ป่านำไปปล่อยนั้น มีงูชนิดเดียวกันอาศัยอยู่หรือไม่ และการปล่อยนี้ก็ต้องมีจำนวนความเหมาะสมด้วยตอกย้ำ...“งูเมือง” ถูกจับมานี้ไม่ใช่ทุกตัวแข็งแรงสมบูรณ์ หากปล่อยไปแล้วต้องคำนึงถึงการดำรงชีวิตในป่าธรรมชาติเช่นกัน โดยเฉพาะ “โรคติดต่อ” ที่ทุกคนต่างตระหนักกังวลถึงปัญหาเรื่องนี้อยู่มาก ทำให้การปล่อย “งูเมือง” ไปสู่ธรรมชาติ อาจจำเป็นต้องตรวจสภาพร่างกาย เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคแพร่ให้สัตว์ชนิดอื่นด้วยอุปสรรคเหล่านี้ก็ยังไม่มีทางออกชัดเจน สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ “สัตว์คุ้มครอง” ต้องส่งมอบให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ เพื่อนำไปสถานเพาะเลี้ยงที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นภาระของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอยู่ขณะนี้ถ้าไม่ใช่ “สัตว์คุ้มครอง” จะนำไปปล่อยตามพื้นที่อื่นก็ต้องคำนึงถึง “สัตว์ต่างถิ่น” เช่นกัน ในเรื่องนี้อาจต้องมีการศึกษา และปรึกษาหารือร่วมกับหน่วยงานรัฐ เพื่อหาทางออกเรื่องงูล้นเมืองต่อไป...ทว่า...“ชีวิตงู” มีความแตกต่างหลากหลายมาก คือ กลุ่มมีชีวิตอยู่บนต้นไม้ คือ งูเขียวพระอินทร์ งูเขียวปากจิ้งจก กลุ่มงูน้ำ...งูสายรุ้ง งูหัวกะโหลก งูงวงช้าง กลุ่มงูพื้นดิน...งูเหลือม งูหลาม งูเห่าถ้างูพวกนี้ได้กินสัตว์ขนาดใหญ่เป็นอาหาร เช่น ไก่ แมว สุนัข สามารถอิ่มท้องอยู่ได้ราว 2–3 สัปดาห์ หากกินเหยื่อขนาดเล็ก เช่น หนู จะอยู่ได้ราว 2–3 วัน ก่อนที่จะออกล่าเหยื่อครั้งต่อไป ประเด็น...“งูกัดคน” ตามธรรมชาติมักคิดว่า “คน” เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มากกว่า “เป็นเหยื่อ” และมองว่า “คนเป็นผู้ล่าทำอันตราย” เมื่อเจอ “คน” ส่วนใหญ่งูมักหาทางหนีก่อน ถ้าหนีไม่ได้ก็ “ต่อสู้” ด้วยการขู่แผ่แม่เบี้ยปัญหามีอยู่ว่า...“งูกัดคน” ส่วนใหญ่เกิดจาก “คนมองไม่เห็นงู” ที่งูอาจมีมาตรการขู่ไปแล้ว แต่เราอาจมองไม่เห็น “ตัวงู” เอง ทำให้ต้องมีมาตรการสุดท้ายคือ “กัดเพื่อป้องกันตัว” เพราะ “พิษงู” ถูกสร้างมาเพื่อป้องกันตัว และมีจุดประสงค์สำหรับใช้ “ล่าเหยื่อ” เท่านั้น ในบางครั้ง “งูก็หวงพิษ” เสมือนยิ่งกว่า “คนหวงทองคำ” ด้วยซ้ำเพราะ “พิษมีจำกัด” ทำให้ไม่สามารถใช้ “สุ่มสี่สุ่มห้า” ดังนั้น “งูกัดคน” ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยพิษทุกครั้ง อาจเป็นการฉกกัดป้องกันตัวก็ได้ แต่จริงๆแล้ว “ต่อมพิษ” ถูกพัฒนามาจาก “ต่อมน้ำลาย” นั่นหมายความว่า “งูสามารถสร้างพิษขึ้นได้ทันทีภายใน 1–2 นาที” ส่วนในจำนวนพิษมากนี้อาจต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงดังนั้น แม้ว่า “งูถูกรีดพิษหมด” ก็ไม่ใช่ว่า “ปลอดภัย” ที่ยังเป็นอันตรายอยู่เช่นเดิมเสมอ ทำให้บางพื้นที่ที่มี “การแสดงโชว์งู” มักนิยม “ตัดต่อมพิษงูออก” เพื่อไม่ให้สามารถผลิตพิษขึ้นมาใหม่ได้ถาวร แต่การตัดนี้ย่อมส่งผลต่อสุขภาพของงู ทำให้มีชีวิตไม่ยืนยาวตามธรรมชาติ เพราะระบบร่างกายขาดความสมดุลบางส่วนไปส่วนเทคนิคเผชิญหน้า “อสรพิษประชิดตัว” ลำดับแรก...“ต้องตั้งสติ” ค่อยๆสังเกต “ปฏิกิริยางูอย่างใกล้ชิด” ก่อนถอยหลังออกห่างช้าๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้งูตกใจ ถ้างูชูแม่เบี้ยโยกไปมาต้องหยุดเคลื่อนไหวหากเผชิญหน้าห่างกันไม่เกิน 1 เมตร โดยเฉพาะ “งูจงอาง” สิ่งที่ทำได้ คือ “ยืนนิ่งที่สุด” เพราะ “จงอาง” แผ่แม่เบี้ยสูง 50 ซม. มีระยะพุ่งฉกกัดไม่เกิน 1 เมตร ดังนั้น ระยะปลอดภัยต้องห่างกัน 2 เมตร แต่ถ้าเรานิ่งให้ “งู” มั่นใจไม่มีอันตรายก็จะเลื้อยไปเอง แต่คนเจอแบบนี้มัก “ตกใจ” เคลื่อนตัวหนีฉับพลัน ทำให้งูกัดป้องกันตัวขึ้นได้สุดท้าย อย่ามัวเชื่อว่า...“งูเข้าบ้าน” เป็นการมา “ให้โชคให้ลาภ” แต่ต้องรีบแจ้ง 199 เพื่อให้ผู้ชำนาญการเข้ามาจับ “งู” ออกไปโดยเร็วจะปลอดภัยดีที่สุด.