ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งทางการเมือง มักจะตามมาด้วยข่าวลือเรื่องรัฐประหาร ราวกับว่าการเมืองไทยล้าหลังเต็มที เอะอะก็ต้องแก้ไขกันด้วยกำลัง เหมือนมนุษย์สมัยหิน และกลายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำเหล่าทัพ มักจะถูกสื่อถามว่าจะมีรัฐประหารหรือไม่ ผู้ถูกถามคราวนี้คือ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุดผบ.ทสส.ตอบว่า ทหารเป็นกลไก ของรัฐบาล ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการช่วยเหลือประชาชน บทบาทของทหารไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่อาจจะเกี่ยวพันกับความมั่นคงของรัฐ “ในส่วนของเรามีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” และเชื่อมั่นในประชาธิปไตย “การปฏิวัติไม่ได้อยู่ในความคิดทหารในปัจจุบัน”คนไทยรวมทั้งสื่อมวลชนชอบเรียกการยึดอำนาจด้วยกำลังว่า “ปฏิวัติ” เพราะเป็นคำที่ติดปากมาจากอดีตที่คณะผู้ยึดอำนาจเรียกตัวเองว่า “คณะปฏิวัติ” แต่นักวิชาการเรียก “รัฐประหาร” เพราะถ้า “ปฏิวัติ” ต้องเปลี่ยนแปลงแบบ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” ซึ่งไม่เคยมีในประเทศไทย แต่ที่เกิดซ้ำซากเกือบ 20 ครั้ง คือรัฐประหารก่อนหน้านี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่าทหารไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และจะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องการเมือง คำพูดของผู้นำเหล่าทัพทั้งสองท่านเป็น “สัญญาประชาคม” ต่อประชาชนได้หรือไม่ สัญญาว่าจะไม่มีการยึดอำนาจ เปิดทางให้ประชาธิปไตยเบ่งบานรัฐประหารกลายเป็นความเคยชิน เป็นประเพณีการเมืองไทยที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น คิดอะไรไม่ออกบอกรัฐประหาร เป็นชัยชนะทางทหาร เนื่องจากกองทัพมีอาวุธ ส่วนรัฐบาลพลเรือนมีแต่มือเปล่าๆ แต่เมื่อประชาชนตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น แม้จะทำรัฐ-ประหารสำเร็จ แต่พ่ายแพ้ทางการเมืองเหตุที่พ่ายแพ้ทางการเมือง เนื่องจากขาด “ความชอบธรรม” ในการได้มาซึ่งอำนาจ และการใช้อำนาจ เพราะไม่ชอบด้วยวิถีทางรัฐธรรมนูญ แม้จะพยายามสร้างความชอบธรรม โดยเขียนรัฐธรรมนูญรับรองการได้มาซึ่งอำนาจ แต่ประชาชนตื่นตัวก็รู้เท่าทัน เห็นได้จากเสียงเรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่จากนักการเมืองนักศึกษาถึงเวลาที่คนไทยทุกหมู่เหล่าจะต้อง “ปฏิรูป” ตัวเอง ทหารต้องเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่ทหารการเมือง ส่วนนักการเมืองก็ต้องปฏิรูปตัวเอง ไม่อ้างสิทธิเสรีภาพสุดโต่ง เสรีภาพในการซื้อเสียง การทุจริตโกงกิน การแย่งชามข้าว จนผู้คนเสื่อมศรัทธา ชัดเจนที่สุดคือผลโพลที่พบบ่อยครั้ง ประชาชนเสื่อมศรัทธานักการเมือง.