ไม่ถึงกับต้องบันทึกลงบนสมุดข่อยโบราณ ว่าด้วย...ตำนาน “ท่องเที่ยวไทย”ที่หากย้อนวันเวลากลับไปนับในอดีตเริ่มก่อตัวเป็น “องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวฯ (อสท.)” เมื่อปี 2503 เป้าหมายเพื่อแสวงหาเงินตราต่างประเทศเข้าไทยแล้วกระจายสู่ท้องถิ่นต่างๆโดยรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างรู้ค่า...พร้อมกระตุ้น “คนไทย” ให้เที่ยวในประเทศ ตั้งกำแพงกั้นเงินบาทไหลออกนอกประเทศบริบทนี้ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ...เพราะปัญญาชนยุคนั้นต่อต้าน แต่ไม่ถึงกับทำ “แฟลชม็อบ” อ้างปากท้องเป็นมหากาพย์สำคัญกว่าท่องเที่ยว...ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหล? ต่อมา...ถึงเริ่มเข้าใจเจตนาในการแสวงหารายได้ กับช่วยสร้างงานสร้างอาชีพเมื่อท่องเที่ยวเริ่มตกผลึกที่พระนคร ถึงขยายไปสู่นครพิงค์เชียงใหม่กับลงใต้ไปปลุกหาดทรายชายทะเลรับนักท่องเที่ยวที่ “ไข่มุกอันดามันภูเก็ต”อดีตผู้บริหารองค์กรท่องเที่ยวรายหนึ่ง เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า ก้าวแรกที่ลงไปเปิดอบรมพนักงานโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหารที่ภูเก็ตให้มีมาตรฐานสูงขึ้นกลับถูกคนที่นั่นเปิดเวทีไฮปาร์กขับไล่บอก...ไม่เอาท่องเที่ยวกลัวจะทำลายวิถีบ้านๆ“แต่พอเห็นผลคุ้มค่ากับชีวิตที่ดีขึ้น นักปลุกระดมจึงคิดเปลี่ยนใจมาเป็นนายหน้าขายที่ดินแทน จนได้เป็น...นายหัว...มาทุกวันนี้”นี่คือภาพจริง...จากการดึงอุตสาหกรรมไร้ปล่องควันมาบรรจุไว้ในแผนการขาย โดยไม่ต้องนำสินค้าตัวจริงส่งไปขายต่างประเทศ ผู้บริโภคต้องบินมาสัมผัสด้วยตัวเอง จากวันวานถึงวันนี้...“ท่องเที่ยวไทย” มีอายุครบ 60 ปี หรือ “5 ทศวรรษ” เข้าไปแล้วด้วยตัวเลขจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 81,340 คนในปีเริ่มต้น และด้วยจำนวนคนทำงานเพียงหลักสิบก่อนเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยเมื่อมีสถานะเป็น “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” ในปี 2522 ที่ตัวเลขทัวริสต์นักท่องเที่ยวขยับตัวพุ่งทะยานไปถึง 2 ล้านคน ทำรายได้สูงอันดับ 1 แซงภาคส่งออกทันที... ในบัดดลกระนั้น...ก็หนีปัญหาไม่พ้น ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกผันผวน การเมืองภายในไม่เสถียร ขยันทำปฏิวัติรัฐประหาร หรือก่อเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมืองบ่อยครั้ง ซึ่งล้วนแล้ว...กระทบท่องเที่ยวที่อ่อนไหวบอบบางทั้งสิ้นประเด็นที่ต้องยอมรับความเป็นจริง ตัวแปรที่หนักหนาสาหัสก็... คือ “นักการเมืองอาชีพ” บางคนที่ชอบ “กินเผือก” งบประมาณแผ่นดิน แล้วก็เป็นชนวนสู่การทุจริตคอร์รัปชัน เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงไปถึงการแต่งตั้งโยกย้าย ถ้าจะพูดให้ทันสมัยก็แบบว่า...ไร้หลักธรรมาภิบาลอย่ามโนนะว่า...องค์กรนี้โปร่งใสไม่มีมลทิน เพราะอดีตมันฟ้องปัจจุบัน...ลากยาวมาจนยันวันนี้?วันที่ 18 มี.ค.2563 เป็นวันสถาปนาองค์กร โดยปีก่อนหน้ามีชาวโลกมาเยือนไทย 39 ล้านคน จากจำนวนคนทำงานที่เติบโตถึงหลักพันขณะนี้ ซีอีโอเลยคุย...ปีนี้ตามแผนต้องทำได้ 40.78 ล้านคน ปั๊มรายได้ 2.03 ล้านล้านบาทพอไครซิส “โควิด-19 ฟีเวอร์” วิกฤติไวรัสร้ายแพร่ลามโลกอย่างหนัก...ก็เริ่มเสียงอ่อยลงเหลือ 36 ล้านคน รายได้ 1.78 ล้านล้านบาทผู้สันทัดกรณีในวงการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศต่างก็ชวนสงสัย...ทำได้จริงเหรอ?...ในเมื่อจีน อิตาลี เกาหลี อิหร่าน และอีก 126 ประเทศ ยังลูกผีลูกคนกับโควิด-19...โดยไม่รู้จะสงบจบข่าววันใด? ขณะแอนนิเวอร์ซารีการเฉลิมฉลองท่องเที่ยวไทยอายุครบ 60 ปี ก็ดูท่าแล้วปรากฏชัดไม่มีการบุกเจาะตลาดดึงคนมาร่วมเฉลิมฉลองชื่นมื่นเหมือนวันวาน เนื่องจากไร้แผนรองรับ แล้วยิ่งผนวกแรงบวกตรงจังหวะบังเอิญโควิด-19 โผล่มาโจมตีเสียก่อน...จึงรอดตัวไป...จะมีเพียงแต่งชุดไทยเลี้ยงพระเพล สะท้อนความเป็นนักการตลาดมืออาชีพยุคใหม่สมัยนี้เพียงเท่านั้นแต่ก็ออกตัวไว้ว่า...ได้ร่วมกับพันธมิตรแอร์ไลน์ เสนอขายรูตทัวร์ 60 เส้นทางให้เลือกเที่ยวกันเอง เที่ยวแล้วรอจับรางวัลชิงตั๋วเครื่องบิน และรายการนำเที่ยวตามแนวถนัดเดิมๆตรงนี้เองที่เป็นเรื่องน่าแปลก...มีคำถามสำคัญตามมาว่าเหตุไฉน? ที่ไม่คิดจะใช้สำนักงาน 45 แห่งทั่วไทย ชูกิจกรรมเด่นๆในพื้นที่ หรือสร้างอีเวนต์ให้เหมาะกับช่วงเวลาขณะโควิด-19 กำลังมาแรง เพราะ “ท่องเที่ยว” เป็นเรื่อง “หยุดนิ่ง” ไม่ได้และ...ส่วนกลางจะต้องพร้อมเป็นทัพสนับสนุนเต็มกำลัง ทั้งด้านส่งเสริมกิจกรรมและตลาด รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ฝ่าฝันร้ายให้บ้านเมืองดูดีมีสีสัน หลังสลบไสลมานานนับเดือนให้ได้...ในวาระท่องเที่ยวมีอายุครบ 60 ปี พร้อมไวรัสจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ที่มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญระลอกนี้ นอกจากนี้...หลายฝ่ายยังอดห่วงไม่ได้ว่า...หากจะใช้อุตสาหกรรมแขนงนี้กู้วิกฤติเศรษฐกิจซึ่งซบเซามานานก็ควรทบทวนบทบาทที่ผ่านมาว่า...มีอะไรบ้าง? เป็นความคิดสร้างสรรค์เชิง “Output” สู่ “Outcome” สร้างรายได้ที่จับต้องได้สิ่งแรก...“กด Like” ให้ได้กรณีขยายสำนักงานสาขาในประเทศ จาก 33 แห่งเป็น 45 แห่ง...ต่างประเทศ 22 แห่งเป็น 29 แห่ง เพื่อรับมือการทำงาน และโชคดีที่สามารถเดินเครื่องได้เต็มสูบนัยว่า...เป็นฝีมือซีอีโอที่ได้สัญญาณไฟเขียวเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ด้วยบารมีจากใครไม่รู้? อีกทั้งการทำงานก็เกิดสภาพคล่อง เช่น โครงการสร้างซุ้ม “ประชารัฐสุขใจ” บริเวณสถานีบริการน้ำมัน 148 แห่งทั่วประเทศ ด้วยงบฯ 148 ล้านบาท จากกรมพัฒนาชุมชนเพื่อให้เกษตรกรนำผลิตภัณฑ์ชุมชนมาวางจำหน่ายนักท่องเที่ยว และมอบ ททท.รับผิดชอบงานด้านตลาด ไม่นาน...ไม่นานจริงๆ น่าเสียดาย...เกิดภาวะล้มเหลวเดินต่อไม่ได้ เพราะซุ้มส่วนใหญ่ร้างเป็นป่าช้าต่อมาหว่านเงินลงไปอีก 140 ล้านบาท จ้างนักชิมแบรนด์ดัง จัดทำคู่มือแนะนำร้านอาหารไทย โดยไม่ระบุวิธีเผยแพร่และประเมินผล ชี้วัดความสำเร็จจากการกระตุ้นตลาดโดยคู่มือดังกล่าวมุกเด็ด...คือการทำตลาดผูกขาดเฉพาะทัวร์จีนแบบเหมาโหล ไม่สนตลาดอื่นๆ หากยังพอจะจำกันได้จนอยู่มาวันหนึ่ง...เรือนำเที่ยวเกิดล่มกลางทะเลภูเก็ต นักท่องเที่ยวจีนสังเวยชีวิตครึ่งร้อยถึงได้เมินไทย ...หันไปทัวร์เวียดนาม เมียนมาแทน...ไทยจึงจัดโต๊ะจีนแบบลพบุรี เลี้ยงข้าวเหนียวมะม่วงเป็นการปลอบขวัญตลาดแนวใหม่ยังเรียงแถวตามมา นับตั้งแต่...แนวคิดจะเจาะกลุ่มเพศสภาพ LGBT กลุ่มเตียงใกล้หักมาหลอมใจในไทย ตลาดไทยเที่ยวไทยชิงร้อยชิงล้านเงินสด บ้าน ที่ดิน รถยนต์เที่ยวลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี กับโครงการปังสุดๆ “ชิม ช้อป ใช้” ที่กำลังสลบไล่กันมายาวๆจนถึงตรงนี้ อาจเหมือนประชดประชัน แต่ฟังไว้แบบติเพื่อก่อเพราะไม่รู้ปีนี้...จะผุดไอเดียอะไรมารับ “61 ปีเที่ยวไทย” กับหลังวันโควิด-19 เด๊ดสะมอเร่เรียบร้อยแล้ว.