ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ทั้งของตัวเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมถึงผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ตามมาตรา 102โดยมีโทษถ้าจงใจไม่ยื่นหรือยื่นข้อมูลเท็จ ปกป้องข้อมูล มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ชูความเข้มข้น ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญ “ฉบับปราบโกง”ทำให้เกิดปรากฏการณ์เขย่าวงการเนื่องจากพบว่ามีข้อกำหนดให้กรรมการและผู้บริหารสูงสุดในสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ ทั้งนายกสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี กรรมการสภามหาวิทยาลัย ต้องยื่นบัญชีไม่เพียงแต่มหาวิทยาลัยของฆราวาส แต่รวมไปถึงมหาวิทยาลัยของสงฆ์อีกด้วย จะต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินภายใน 90 วัน หลังกฎหมายมีผลในวันที่ 2 ธ.ค.ทำให้เกิดความระส่ำระสาย กรรมการในองค์กรต่างๆ ทยอยยื่นใบลาออกปัญหาเรื่องนี้ นายอุดม รัฐอมฤต กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์กับ ทีมข่าวการเมือง โดยชี้ทางออกว่า ป.ป.ช.อาจต้องไปตีความคำว่ากรรมการและผู้บริหารสูงสุด จะให้หมายถึงกลไกที่มีอำนาจตัดสินใจแบบไหน ต้องไปนิยามให้เป็นเรื่องทั่วไป ไม่ใช่ยกเว้นเฉพาะกรรมการหรือนายกสภามหาวิทยาลัยอาจแตกต่างกับหน่วยงานที่มีผลประโยชน์ค่อนข้างสูง เช่น บอร์ดรัฐวิสาหกิจ หรือบอร์ดที่ต้องอนุมัติสัมปทาน ที่มีผลประโยชน์ใหญ่ๆแค่บอร์ดอนุมัติหลักสูตร ที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรชัดๆ การมาเป็นนายกสภา กรรมการสภา นอกจากไม่มีอำนาจอะไรแล้วยังถูกตรวจสอบทรัพย์สินอีกความโปร่งใสเป็นเรื่องที่ดี ถ้ามีโอกาสเลือกจะเลือกหรือไม่ หากได้เบี้ยประชุม 5,000 บาท แต่กลับมาเสี่ยงทำผิดกฎหมายและเกิดเรื่องจุกจิกกวนใจที่ต้องมายื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ขณะเดียวกัน กฎหมายให้อำนาจ ป.ป.ช.ไปออกประกาศ คำว่ากรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานรัฐ เวลาใช้คำว่าสูงสุดอาจตีความว่าสามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ มีเรื่องผลประโยชน์ ต้องมีเกณฑ์หรืออีกทางออกหนึ่งคือการแก้กฎหมายลูกว่าให้เจาะจงเฉพาะผู้บริหารระดับสูง หมายถึงผู้บริหารสูงสุด เพราะในรัฐธรรมนูญ กรธ.ระบุแค่นั้น แต่มาปรับแก้กันในชั้นกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมาเติมคำว่า “กรรมการ” เข้ามาส่วนคำว่า “กรรมการ” จะมีความหมายอย่างไร ป.ป.ช.ต้องไปพิจารณา ซึ่งสามารถกำหนดตำแหน่งเองได้ไม่ต้องไปเขียนในกฎหมาย ใช้ดุลพินิจว่าตำแหน่งไหนสำคัญ มีอำนาจในการให้คุณให้โทษคนอย่างไรหากเห็นว่ากรรมการสภามหาวิทยาลัยมีอำนาจเยอะ ระบุไปเลยว่าตำแหน่งนี้ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ดูรายกรณีตามที่กฎหมายเปิดช่องทีมข่าวการเมือง ถามว่าในฐานะผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญและเป็นผู้ที่เคยยื่นบัญชีทรัพย์สิน มีแง่มุมอย่างไรต่อเรื่องดังกล่าว นายอุดม มองว่า เป็นการสร้างภาระให้คนที่เข้ามาทำงานเกินสมควรถ้าเป็นนักการเมือง รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. มีอำนาจในการสั่งการ ดูแลกิจการบ้านเมือง ถ้า จะเอกซเรย์ทุกแง่มุม สังคมคงไม่ว่าแต่คนเหล่านี้เป็นผู้ที่มากด้วยความรู้ ความสามารถ มากด้วยประสบการณ์ บางคนถูกเชิญมาทำงานอาจเป็นข้าราชการเกษียณ หรือเป็นพนักงานในองค์กรเอกชน หรือคนที่ดูแลกิจการส่วนตัวประสบความสำเร็จแล้ว ถูกเชิญมา เขาจะรู้สึกว่าเชิญเขามาเพื่อมาช่วยเหลือ กลับมาสร้างภาระให้เขาอีกถ้าคนเป็นข้าราชการ พนักงานของรัฐที่เคยยื่นอยู่แล้วอาจไม่รู้สึกอะไร ดังนั้น คนที่ลาออกคงไม่ใช่ว่าต่อต้านกฎหมาย ถ้าให้เขาเลือกว่าถ้าต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน เขาคงไม่อยากจะเข้ามา ไม่ได้หมายความว่าเขาเรียกร้องให้แก้กฎหมาย กฎหมายเป็นอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้นส่วนว่าเมื่อมีประกาศออกมาแล้ว เกิดปัญหาว่าจะระดมคนที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปช่วยสถาบันการศึกษาไม่ได้ อันนั้นก็เป็นปัญหาของการร่างกฎหมาย ดังนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะให้ปรับแก้ด้วยวิธีไหนการที่จะไปเลือกคนที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถระดับสูง ก็ยากขึ้น ได้คนธรรมดาที่ไม่มีทรัพย์สิน สถาบันการศึกษาไปพิจารณาเองว่าคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินคงมี แต่ตัวเลือกจะน้อยลงอาจไม่สามารถเลือกคนดีเด่นดังได้เจตนารมณ์ของ กรธ.ต้องการให้ผู้บริหารระดับสูงยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน นายอุดม บอกว่า ต้องยอมรับว่าหน่วยงานของรัฐ ถ้าเป็นระดับกรม คือส่วนราชการถูกบังคับอยู่แล้ว เราเขียนให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงที่อยู่ในความหมาย คนเป็นอธิบดีต้องโดนตรวจสอบหากไม่ใช่กรม แต่เป็นหน่วยงานที่รัฐตั้งขึ้น เช่น องค์การมหาชน หรือเลขาธิการกองทุน ถ้าเขามีอำนาจให้คุณให้โทษ มีอำนาจในการให้ผลประโยชน์จัดซื้อจัดจ้างจำนวนมาก ถ้าวางเป็นหลักการทั่วไปว่าเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจในองค์กรมันก็โอเคทั้งนี้ ธรรมชาติของบอร์ดไม่เหมือนกัน บอร์ดบางอันคุมตัวผู้บริหาร อย่างองค์กรอิสระ การจัดซื้อจัดจ้าง บางทีแยกไม่ได้ชัดเจนว่าองค์กรไหนบอร์ดมีอำนาจแค่ไหนเวลาเราจะไปควบคุมคนที่มีโอกาสคอร์รัปชัน ซึ่งมีโอกาสทั้งนั้น ถ้าใช้วิธีถึงขนาดไปตรวจสอบทรัพย์สินเขา คงดูแล้วว่าเป็นคนที่มีโอกาสคอร์รัปชันมากคนที่คิดจะโกงไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ แต่อาจจะยากและเป็นภาระสำหรับคนบริสุทธิ์กรณีคู่สมรส กิ๊กต้องยื่นด้วย นายอุดม ตอบว่า เขาไม่ได้คิดไกลไปถึงกิ๊ก ปัญหาที่เป็นตัวอย่างให้เห็นคือไม่จดทะเบียนสมรส อยู่กันเป็นสามีภรรยา หรือคนที่จดทะเบียนสมรสแล้วหย่ากัน ยังอยู่ด้วยกันจะทำอย่างไร ก็เขียนครอบคลุมไว้ถ้าไปแอบมีความสัมพันธ์ ก็ไม่อยู่ในข่าย หรือเปิดเผยความสัมพันธ์แบบนี้อย่างไร ถ้ามีสัมพันธ์ที่รู้กันภายใน ก็แล้วแต่กรณีว่าเปิดเผยมีความเป็นตัวเป็นตน มีกี่คนก็แล้วแต่ แน่นอนว่ากฎหมายเปิดช่องให้ไปถึงบางครั้งเรามานั่งนึกเขาอุตส่าห์หลบแล้ว ยังไปเปิดเผยเขา อันนี้ไม่ใช่กฎหมายแก้กิ๊ก ที่จะมาหวังว่าให้เปิดเผยเรื่องกิ๊ก เขาไม่ได้จดทะเบียน อาจจะอยู่กับคนนั้นสองวัน คนนี้สามวัน ถ้าเปิดเผยแบบนั้นก็ต้องยื่นหมด ก็แค่นั้นบางคนคิดว่าคู่สมรสไม่ได้จดทะเบียน ไม่ได้เปิดเผย ถามว่าต่อมามีความผิด หรือถ้ามีกิ๊กแล้วเอาทรัพย์ไปฝากไว้ เราจะตรวจสอบก็ได้ เป็นการไต่สวนหาข้อมูล ว่าทรัพย์อยู่ที่ใครแม้ไม่ยื่น ท้ายสุดต้องไปสอบเอาความจริงให้ได้ บ้านเล็กบ้านน้อย คนรู้ใจ ระดับไหน บางคนนับถือกัน ดูแลกันแบบพี่น้อง อาจเกินเลยความรู้สึกคนภายนอก แล้วแต่จะคิด แต่ที่สำคัญมีอะไรพัวพันฐานะทรัพย์สินหรือไม่ ถ้าไม่ถึงขั้นนั้นก็ไม่ต้องคิดมากกฎหมายก็เอาพอสมควร ให้ยื่นทรัพย์สินหนี้ภรรยา บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ถ้ามีข้อสงสัยสามารถตรวจสอบได้ทั้งพ่อแม่ หรือบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้วได้เรื่องนี้ก็คาดหวังว่ารัฐบาลจะหาทางออกโดยเร็ว เพราะกระเทือนจริงๆ อยากได้คนมาทำงาน แต่ถ้าให้รับภาระ คงไม่มีใครอยากมาขอพักดีกว่า ไปทำเรื่องอื่นที่ไม่ต้องมานั่งรำคาญส่วนข้อเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 ในการแก้ปัญหา นายอุดม บอกว่า ที่ง่ายๆคือเสนอแก้กฎหมายผ่าน สนช. 3 วาระรวด ทำได้อยู่แล้ว ระบุเลยว่าอันไหนเป็นตำแหน่งสำคัญก็กำหนดให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินแต่การใช้มาตรา 44 เข้าไปแก้ไขคนเห็นด้วยหรือไม่ เพราะหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว การออกการใช้มาตรา 44 เหมือนดาบสองคมด้านหนึ่งจะเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่การคงให้มีอำนาจนี้อยู่ เพราะไม่รู้ข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าจะใช้หมายถึงต้องเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไป ไม่ทำให้ใครเสียหาย มีแต่คนยกย่องถ้าใช้แล้วมีคนคอยรุมด่า ต้องคิดมากเหมือนกัน.ทีมการเมือง