ในที่สุด คดีอื้อฉาวที่เรียกกันว่า “โกงเงินคนจน” ก็มาถึงบทสรุป คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีมติให้อายัดทรัพย์ข้าราชการ 12 คน รวมทั้งอดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และรองปลัดกระทรวง พร้อมทั้งแจ้งข้อหาทุจริตยักยอกทรัพย์ และฟอกเงิน ส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไปเลขานุการกรม ปปง.ชี้แจงว่า เป็นการทุจริตเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ ในปี งบประมาณ 2559-2560 ที่รัฐเสียหายกว่า 80 ล้านบาท เป็นการทุจริตอย่างเป็นขบวนการ เริ่มต้นด้วยการจัดสรรงบประมาณไปยังศูนย์ และหน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการในทุกภาค จัดทำเอกสารเท็จเบิกเงิน และนำเงินทุจริตส่งกลับคืนผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดพฤติการณ์ของการทุจริต ใช้วิธีการหอบเงินสดไปส่งให้โดยตรง โดยไม่โอนผ่านธนาคาร และนำเงินไปแปลงเป็นทรัพย์สินต่างๆ เช่น ซื้อที่ดิน ห้องชุด รถยนต์หรู หรือนำเข้าบัญชีธนาคาร ผู้ที่เปิดโปงเรื่องนี้ครั้งแรก ไม่ใช่ข้าราชการหรือหน่วยงานรัฐ แต่เป็นนักศึกษาฝึกงาน จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ได้รับคำสั่งให้ปลอมแปลงเอกสารเพื่อเบิกเงินเหตุเกิดที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดขอนแก่น ต่อมาขยายผลนำไปสู่การตรวจสอบศูนย์สงเคราะห์คนจนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เริ่มต้นจากการร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ของนักศึกษา วิธีการทำทุจริตยอดนิยม คือปลอมแปลงลายเซ็นคนจนผู้มีสิทธิรับความช่วยเหลือ เพื่อเบิกจ่ายเงินเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน แสดงว่าการโกงกินอาจเกิดขึ้นได้ ทั้งในยุครัฐบาลเลือกตั้ง หรือรัฐบาลรัฐประหาร ตามปกติ การทุจริตมักจะเป็นการสมคบคิดระหว่างคน 3 ฝ่าย คือ นักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ แต่การโกงเงินคนจนพิสูจน์ชัดเจนว่า ข้าราชการฝ่ายเดียวก็สามารถปฏิบัติการโกงกินได้ ในยุคที่ประเทศเป็นรัฐข้าราชการ ปกครองโดยข้าราชการจุดอ่อนสำคัญที่สุดของยุคที่ไม่มีการเลือกตั้ง คือ ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลที่ไร้ประสิทธิภาพ โครงการต่างๆ ข้าราชการเป็นผู้คิด เป็นผู้จัดหางบประมาณมาใช้จ่าย ข้าราชการจึงเป็นผู้จ่ายเงินเองและตรวจสอบเอง จุดอ่อนที่สำคัญอีกอย่างคือ ระบบเพื่อนพ้องน้องพี่ อาจมีการตรวจสอบแต่ลูบหน้าปะจมูก การตรวจสอบการทุจริตพวกพ้องล้มเหลวเป็นธรรมดาดูตัวอย่างเรื่องการตรวจสอบการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับพวกพ้องผู้มีอำนาจหลายเรื่อง มีเรื่องใดบ้างที่ได้ตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมาย ที่น่ากังวลอย่างยิ่งก็คือ ในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้ มีโครงการลดแลกแจกแถมอย่างมโหฬาร ทั้งการทุ่มเงินกองทุนหมู่บ้าน 4 ปี กว่าแสนล้านบาท และโครงการไทยนิยมหมู่บ้านละ 2 แสน ใครจะเป็นผู้ตรวจสอบ.