นพ.จรัญก็เพราะ “สมุนไพรไทย” เป็นอาวุธใหม่ในการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพและความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้เศรษฐกิจไทย รัฐบาลจึงเดินหน้าทำแผนแม่บทพัฒนาสมุนไพรไทยฉบับแรก โดยคาดหวังว่าจะส่งเสริมการใช้สมุนไพรให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย โดยมีโครงการ “Herbal City” เป็นโปรเจกต์นำร่องปลุกปั้น 4 จังหวัดใหญ่คือ เชียงราย, สกลนคร, ปราจีนบุรี และสุราษฎร์ธานี ให้เป็นต้นแบบของเมืองสมุนไพรแห่งอนาคตของภูมิภาคอาเซียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี “นพ.จรัญ บุญฤทธิการ” บอกเล่าถึงภารกิจในการเป็นหัวหอกผลักดันให้สมุนไพรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลกว่า “ในอดีตสมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของสังคมไทย โดยภูมิปัญญาไทยเหล่านี้ได้รับการสั่งสม สืบทอด และพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เนื่องจากประเทศไทยเป็นเขตร้อนชื้น มีพันธุ์พืชมากกว่า 20,000 ชนิด ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นสมุนไพรกว่า 1,800 ชนิด ผมมองว่าถ้าตลาดยามีมูลค่าแสนกว่าล้านบาท เราเอาสมุนไพรเข้าไปเจาะตลาดได้ 2-3 หมื่นล้านบาท ประเทศของเราก็มั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืนแล้วล่ะครับ สิ่งที่อภัยภูเบศรทำอยู่คือ การนำสมุนไพรไทยมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจของประเทศชาติ ล่าสุด เราได้ไปจับมือกับสถาบันวิจัยครีมของฝรั่งเศส เพื่อผลิตเครื่องสำอางจากสมุนไพรไทยส่งออกไปขายทั่วโลก เพื่อตอกย้ำว่า เราคือแหล่งสมุนไพรอันดับหนึ่งของโลก” อภัยภูเบศรเริ่มบุกเบิกนำสมุนไพรมารักษาโรคได้อย่างไรเราเรียกสิ่งนี้ว่า ภูมิปัญญาอภัยภูเบศร มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2526 โดยผู้บุกเบิกพัฒนาสมุน- ไพรอภัยภูเบศร คือ เภสัชกรหญิง “ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร” ซึ่งสนใจการใช้สมุน-ไพรมาก จึงเริ่มต้นเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ออกเดินสำรวจป่าและเก็บรวบรวมข้อมูลที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคนจากหมอยาพื้นบ้าน แล้วนำมาวางแนวทางพัฒนาเป็นโครงการ “จากใบไม้ให้กลายเป็นยา” เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับบริการประชาชนสมุนไพรตัวไหนคือการค้นพบวิจัยที่สร้างชื่อเสียงให้อภัยภูเบศรจุดเปลี่ยนสำคัญมีขึ้นในปี 2529 เมื่อ “ดร.สุภาภรณ์” ประสบความสำเร็จในการพัฒนายาสมุนไพรรักษาโรคเริมในปากสำหรับเด็ก เพื่อทดแทนยาแผนปัจจุบัน โดยใช้ “กลีเซอรีนพญายอ” หรือ “เสลดพังพอนตัวเมีย” ซึ่งเป็นสมุนไพรที่หมอยาพื้นบ้านใช้รักษาโรคเริมและงูสวัด ถือเป็นครั้งแรกที่นำพืชสมุนไพรมาผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้ในการแพทย์แผนไทยปัจจุบัน เพื่อผลิตเป็นยาแผนโบราณและจุดประกายให้เกิดการทดลองผลิตยาสมุนไพรชนิดอื่นๆตามมาไม่รู้จบ ปัจจุบันเรามีตำรับยาสมุนไพร 150 รายการ และเป็นโรงพยาบาลเดียวที่นำสมุนไพรมาผลิตเป็นยา การพัฒนาและใช้สมุนไพรเริ่มกลับมาเฟื่องฟูในช่วงไหนวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 เป็นปัจจัยเร่งอีกทางให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรอย่างก้าวกระโดด เพื่อช่วยให้ประเทศรอดพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ยุคนั้นรัฐบาลกระตุ้นหลายหน่วยงานให้ใช้ศักยภาพในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระตุ้นการส่งออก รวมทั้งจัดทำบัญชียาจากสมุนไพรบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อตอบสนองกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในตลาดโลกอภัยภูเบศรมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากวิกฤติอย่างไรบ้างโรงพยาบาลของเราริเริ่มก่อตั้งโครงการสาธิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างครบวงจร เพื่ออบรมให้ชุมชน โดยเน้นการบูรณาการกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลูก, เก็บเกี่ยว, ควบคุมคุณภาพ, วัตถุดิบ และผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ไปจนถึงการจำหน่าย ซึ่งเป้าหมายสำคัญคือ อยากจะส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากพืชเกษตรอินทรีย์ จึงได้จัดตั้งกลุ่มเกษตรกรเป็นเครือข่ายเกษตรอินทรีย์กลุ่มแรก ภายใต้ชื่อ “กลุ่มเกษตรกรบ้านดงบัง” เพื่อเข้าร่วมเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบสมุนไพรให้อภัยภูเบศร ภายหลังการผลิตขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงมีการจัดตั้งมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรอภัยภูเบศรอะไรคือภารกิจหลักของอภัยภูเบศรในยุคแรกตอบสนองความเดือดร้อน และความจำเป็นในการดูแลสุขภาพแก่ประชาชน ขณะเดียวกัน สมุนไพรที่นำมาพัฒนาก็ต้องมีสรรพคุณดี และมีความปลอดภัย เป็นสมุนไพรที่หาง่าย ปลูกง่าย และพึ่งตนเองได้ในระดับชุมชน โดยตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี อภัยภูเบศรได้พัฒนาผลิตภัณฑ์กว่า 150 รายการ เป็นทางเลือกแรกในการดูแลสุขภาพของผู้คนด้วยวิถีและคุณค่าจากธรรมชาติ นอกจากนี้ มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ยังมีส่วนร่วมพัฒนางานบริการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาลและการบริการสุขภาพโดยแพทย์แผนไทย โดย 70% ของกำไรจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ นำมาพัฒนางานด้านบริการดูแลสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพที่ดี ขณะที่กำไร 30% จากการจำหน่ายสินค้า จะนำไปพัฒนางานด้านการวิจัยสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย โดยมุ่งมั่นว่าทุกผลิตภัณฑ์และบริการของอภัยภูเบศรจะช่วยส่งเสริมการพึ่งตนเองของประเทศในด้านยา, ลดดุลการค้าด้านยาจากต่างประเทศ, ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แล้วอะไรคือความท้าทายใหม่ที่อภัยภูเบศรต้องเผชิญในยุคเศรษฐกิจซบเซาปัจจุบันเป้าหมายของเราคือ สร้างการแพทย์ผสมผสานที่เป็นเลิศ โดยคิดค้นวิธีที่จะนำการแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยมารักษาร่วมกันให้ได้ผลดีที่สุด ตอนนี้โรงพยาบาลเราเป็นแหล่งศึกษาดูงานของกลุ่มประเทศอาเซียนไปแล้ว อภัยภูเบศรไม่ใช่บริษัทเชิงธุรกิจ เราเป็นโรงพยาบาลตัวอย่างของรัฐบาล ซึ่งทั้งผลิตและจำหน่ายยาสมุนไพรให้ภาครัฐและภาคเอกชน โดยไม่หวังผลกำไร เฉพาะปีที่ผ่านมา ยอดขายของเราอยู่ที่ 300 กว่าล้านบาท แต่รัฐบาลอยากให้เราทำให้มากขึ้น เพื่อหวังผลว่าประชาชนจะได้ประโยชน์จากการที่อภัย-ภูเบศรผลิตสมุนไพรเพื่อมาใช้ทางการแพทย์คลุกคลีกับสมุนไพรมานาน การกินสมุนไพรต่อเนื่องเป็นอันตรายไหมคะการใช้สมุนไพรไทยในการรักษา เปรียบเสมือนตัดไฟเสียแต่ต้นลม พวกที่เป็นระยะเริ่มต้น ถ้าสามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรก็จะช่วยประหยัดเงินมหาศาล ขณะเดียวกัน ยาแผนปัจจุบันเราก็ทิ้งไม่ได้ คือต้องทำยังไงให้การรักษาดีขึ้น ประหยัดขึ้น กระนั้นสมุนไพรก็เหมือนยาฝรั่ง ไม่ควรกินต่อเนื่องนานๆ ถ้าไม่เจ็บป่วยก็ไม่ต้องกิน ยกตัวอย่างเช่น เวลาเจ็บคอ ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัส สามารถกิน “ฟ้าทลายโจร” ช่วยแก้ไอและเจ็บคอ แต่ถ้าลุกลามจนติดเชื้อแบคทีเรีย ก็ต้องกินยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อถึงจะหาย คือต้องใช้ยาแผนไทยกับแผนปัจจุบันผสมผสานควบคู่กันไป สมุนไพรตัวไหนได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอันดับหนึ่งคือ “ขมิ้นชัน” เป็นตำรับยารักษาโรคระบบทางเดินอาหารที่สำคัญมาก นำมาใช้อย่างกว้างขวางตามโรงพยาบาลทั่วไป ส่วน “รางจืด” มีฤทธิ์ต้านพิษ นำมาทำเป็นสเปรย์ฉีดแก้แพ้แก้ลมพิษ และป้องกันแดดเผาไหม้ อีกตัวที่ขายดีผลิตปีละเป็นล้านขวดคือ “ยาแก้ไอมะขามป้อม” ขณะที่ “ผักเบี้ย” เพิ่งเปิดตัวไป มีสรรพคุณช่วยเรื่องผิวพรรณกระจ่างใส เรานำมาผลิตเป็นครีมบำรุงทั้งเดย์ครีมและไนท์ครีมโรคยากๆอย่างมะเร็งสามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้หรือยังโรคมะเร็งจะรักษาตามอาการ ทว่ายังไม่มีสมุนไพรรักษามะเร็งให้หายขาด!! แต่เราอยากเอาชนะโรคเบาหวานด้วยสมุนไพรมากกว่า กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับ “มะระขี้นก” เบื้องต้นพบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด แต่ต้องทำวิจัยเพิ่มเติมว่ารักษาเบาหวานได้จริงไหม เรายังนำใบบัวบกมาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาเป็นตำรับยาป้องกันโรคสมองเสื่อม ทำยังไงให้สมุนไพรไทยได้รับการยอมรับไปทั่วโลกอย่างแรกคือ ต้องใช้ได้ผลจริง มีคุณภาพและได้มาตรฐาน อภัยภูเบศรให้ความสำคัญมากกับการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ เรามีทีมเภสัชกรอยู่ 10 คน และสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ สิ่งที่ผมฝันไว้คือ อยากสร้างอภัยภูเบศรให้เป็นห้องรับรองแขกของประเทศ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนโรงพยาบาลเรา ปีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน อภัย-ภูเบศรมีครบทุกอย่างทั้งในฐานะแหล่งท่องเที่ยว แหล่งการเรียนรู้สมุนไพร และแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ผมอยากให้ทุกคนหันกลับมามองผืนแผ่นดินไทยว่ามีคุณค่ามากเพียงใด ถ้าคนไทยรักชาติรักแผ่นดินก็ต้องช่วยกันส่งเสริมสมุนไพร เพราะเป็นสินทรัพย์ที่อยู่ในผืนแผ่นดินของเรา เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของบรรพบุรุษไทย. ทีมข่าวหน้าสตรี