ขบวนการค้ายาเสพติดเปลี่ยนเส้นทางใหม่ “ขนยาบ้า” ทะลักเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือผ่านประเทศลาว (สปป.ลาว) ซึ่งมีเครือข่ายคนไทยที่หลบหนีหมายจับไปกบดานสร้างเครือข่ายทำหน้าที่ประสานงาน และสั่งการลำเลียงเข้าพื้นที่ตอนในของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเดิมที่กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดมักใช้เส้นทางหลักมาจาก “แหล่งผลิตในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ” ผ่านเข้าประเทศเมียนมาเข้าสู่ภาคเหนือเป็นหลักกว่า 80% ของยาเสพติดที่ลักลอบนำเข้าทั้งหมด แต่ในช่วงประมาณ 4-5 ปีมานี้ทิศทางการลำเลียงทะลักมายัง “สปป.ลาว” มุ่งเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในสัดส่วนเกือบเท่ากับภาคเหนือส่วนหนึ่งมาจาก “ความไม่มั่นคงภายในเมียนมา” ทำให้เกิดเขตปกครองตนเอง และภัยคุกคามทางด้านทหารในหลายพื้นที่ส่งผลให้การลำเลียงยาเสพติดจากรัฐว้าตอนเหนือลงมาชายแดนไทย “ไม่ราบรื่น และมีความเสี่ยงสูง” บีบกลุ่มผู้ค้าให้หาเส้นทางใหม่ที่สะดวกและปลอดภัยกว่าตามมาผลของการเปลี่ยนเส้นทางนี้ “ภาคอีสาน” ก็ได้กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาบ้าในกลุ่มคนว่างงานจนเป็นความท้าทายให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องเร่งสกัดกั้นนี้ คณิศร ภาพีรนนท์ ผอ.สำนักปราบปราม ยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ภาคอีสานกำลังเผชิญการลักลอบนำเข้ายาบ้า และการแพร่ระบาดในชุมชนอย่างกว้างขวางมากประเด็นมีอยู่ว่า “สปป.ลาวกำลังเป็นที่พักพิงอาชญากรข้ามชาติ” โดยเฉพาะคนไทยที่มีหมายจับในคดียาเสพติดจำนวนมากได้หลบหนีเข้าไปอาศัยอยู่ใน สปป.ลาว เพราะภาษา และวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน รวมถึงยังสามารถใช้เงินบาทได้ด้วย ทำให้สามารถตั้งตนเป็นเครือข่ายในการประสานลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่ภาคอีสานโดยตรงแม้ว่า สปป.ลาวจะยกระดับ “ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ” แต่กลไกและยุทธวิธีการปฏิบัติงานนั้นยังไม่เข้มแข็ง กลายเป็นจุดอ่อนที่กลุ่มผู้ค้ายาปรับเปลี่ยนเส้นทางลำเลียงยาเสพติดมาในพื้นที่ภาคอีสานทะลักเข้ามาในปริมาณที่มาก “แทบจะกลายเป็นศูนย์กลาง” ส่งผลให้ราคายาบ้าจำหน่ายในพื้นที่ต่ำลงอย่างมากทำให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงได้ง่าย “กลุ่มเสี่ยงหลัก” ก็ยังคงเป็นผู้ว่างงานที่มีความเสี่ยงสูงสุดในการเข้าสู่วงจรยาเสพติด ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจเดิมที่มุ่งเน้นไปในกลุ่มผู้ใช้แรงงานเมื่อการเพิ่มขึ้นของผู้เสพก็นำไปสู่ “ปัญหาสังคมที่รุนแรง” โดยเฉพาะอาการคลุ้มคลั่งทางจิตเวชจากการเสพยาบ้าเกินขนาด “ก่อให้เกิดเหตุทำร้ายร่างกาย และอาชญากรรมอื่นตามมามากมาย” สิ่งนี้ทำให้สถานะของประเทศไทยเป็นปลายทางของยาบ้าประมาณ 70-80% ของยาบ้าที่นำเข้ามาถูกบริโภคในประเทศแทบทั้งสิ้นแล้วซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้น 99% มาจากยาบ้า ขณะที่ยาเสพติดชนิดอื่น เช่น ยาไอซ์ เฮโรอีน ส่วนใหญ่มักใช้ไทยเป็นทางผ่านไปประเทศที่สาม “เท่ากับว่าไทยกำลังเป็นปลายทางของยาบ้า” ในการแก้ ไขจึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสกัดกั้นตั้งแต่ต้นทางให้มากที่สุดทว่าการรับมือกับสถานการณ์ยาบ้าทะลักเข้าไทยนี้ “รัฐบาลไทยและ สปป.ลาว” จึงได้ทำข้อตกลงทวิภาคีร่วมกัน โดยมอบหมายให้ ป.ป.ส.ภาค 4 ร่วมกับตำรวจลาว ตั้งชุดปฏิบัติการแลกเปลี่ยนข้อมูล ชี้เบาะแส และติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ รวมถึงเครือข่ายผู้ลักลอบขนยาที่ใช้เส้นทาง สปป.ลาวเข้ามายังประเทศไทยสำหรับแนวทางปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดคือ “สร้างเกราะป้องกัน 2 ชั้น หรือหลังคา 2 ชั้น” โดยชั้นแรก...ควบคุมปราบปรามตามแนวชายแดนของไทย และชั้นที่สอง...ร่วมมือกับ สปป.ลาวเพื่อสกัดยาเสพติดตั้งแต่ต้นทางก่อนเข้าสู่ลาว หรือข้ามมายังฝั่งไทย ผลลัพธ์คือในปี 2566 สามารถจับกุมตัวการสำคัญ 2 รายแล้วหนึ่งในนั้นคือ “อ่อง กีวา สัญชาติมาเลเซีย” เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในขบวนการลำเลียงยาไอซ์จากลาวผ่านไทยไปออสเตรเลียคิดเป็น40% ของปริมาณยาเสพติดมาในเส้นทางนี้ พร้อมยึดทรัพย์อีกหลายร้อยล้านบาท และในปี 2567 สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญเพิ่มอีก 17 ราย ผ่านกลไกความร่วมมือทวิภาคีนี้ถัดมามิติการแก้ไขปัญหาภายในประเทศคือ “การบำบัดและฟื้นฟูผู้เสพ” โดยการใช้ร้อยเอ็ดโมเดลดำเนินการสำรวจ (X-ray) ในชุมชนต่างๆ เพื่อค้นหาผู้เสพ และจำแนกตามระดับความรุนแรง 3 ระดับ คือ “เขียว (ผู้เสพ)” ใช้กระบวนการบำบัดในชุมชน “สีเหลือง (ผู้ติด)” ส่งต่อเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลระดับตำบล (รพ.สต.)ต่อมาคือ“สีแดง (ผู้ป่วยรุนแรง/คลุ้มคลั่ง)” ต้องเข้าสู่การรักษาทางจิตเวช นอกจากนี้ยังมีศูนย์พักคอยรองรับหากสถานที่ไม่พอต่อการบำบัดระยะยาว และใช้เป็นที่พักฟื้นสังเกตอาการให้มั่นใจว่า “ปลอดจากสารเสพติดก่อนกลับชุมชน” ซึ่งจะมีการจัดฝึกอาชีพ และประสานสถานประกอบการในพื้นที่รองรับผู้ที่ผ่านการบำบัดเข้าทำงาน“ส่วนการปราบปรามเครือข่ายผู้ค้าเมื่อพบผู้เสพจะทำการสืบสวนขยายผลหาแหล่งที่มาของยาเสพติด และรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ แล้วจะใช้มาตรการยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด เพื่อเป็นการตัดวงจรทางการเงิน และทำลายแรงจูงใจในการกระทำผิดหรือการก่ออาชญากรรม” คณิศร ว่าย้ำความท้าทาย “การสกัดกั้นยาเสพติด” โดยเฉพาะแนวชายแดนลุ่มแม่น้ำโขงในภาคอีสาน “มักเปิดโล่งยากต่อการควบคุม” จะยกระดับใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นตรวจการณ์นอกเหนือจากการใช้โดรนแล้วก็จะติดตั้งกล้องถ่ายภาพระยะไกลทำงานได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน เพื่อบันทึกภาพเป็นหลักฐานนอกจากนี้ยังจะต้องพัฒนาขีดความสามารถ “เก็บรอยนิ้วมือแฝง และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อื่นๆ” จากหีบห่อของยาเสพติดที่ถูกนำมาทิ้งไว้ตามจุดนัดหมาย เพื่อใช้เป็นหลักฐานขยายผลสู่นายทุน และแหล่งผลิต ซึ่งแม้ว่ามีการจับกุมตลอดแต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไปคงมีนายทุนจ้างคนทำหน้าที่ลำเลียงอยู่เช่นเดิมเช่นนี้สถานการณ์ยาเสพติดที่ “ทะลักเข้าสู่ประเทศไทยที่สูงเรื่อยๆ” จึงกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคง และความสงบสุขของสังคม แม้ว่าภาครัฐจะพยายามปราบปราม ฟื้นฟูผู้เสพ และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดยังคงสามารถปรับตัวหลบเลี่ยงการตรวจจับได้อยู่เสมอฉะนั้นเป้าหมายคือ “ตามสืบทลายเครือข่ายผู้บงการ” แล้วหยุดยั้งแหล่งผลิตในต่างประเทศด้วยยุทธศาสตร์สองชั้น “สร้างเกราะป้องกันร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน” ปิดเส้นทางตั้งแต่ต้น นำเทคโนโลยีมาใช้สกัดกั้นตามแนวชายแดน และบำบัดฟื้นฟู สร้างอาชีพให้ผู้เสพอย่างมีระบบไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรเดิมอีก...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม