ดุเดือดเลือดพล่าน "การสู้รบระหว่าง ไทย- กัมพูชา" ตามแนวชายแดนที่ลุกเป็นไฟหลังการปะทะขยายวงกว้างแบบทุกแนวรบรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีจาก “ฝ่ายกัมพูชา” เดินเกมรุกเต็มกำลังด้วยจรวด BM–21 โดรนพลีชีพ เจาะฐานทหารฝ่ายไทย และยิงโจมตีใส่บ้านเรือนของพลเรือน ทำให้ฝ่ายไทยตอบโต้ “ด้วยอาวุธตามสัดส่วนจากภาคพื้นและสนับสนุนทางอากาศ” เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงฝ่ายตรงข้าม และยึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ ทำให้เสียงปืน-เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั้งแนวชายแดน 7 จังหวัดซึ่งการรุกคืบครั้งนี้ “เป็นยุทธศาสตร์ป้องกันของไทย” ที่มุ่งลดความเสี่ยงต่อประชาชนและกำลังพลในแนวหน้า รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา ประเมินสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาครั้งนี้ว่าเท่าที่สังเกตยุทธศาสตร์ฝ่ายกัมพูชาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เพราะสะสมกองบินโดรน และจรวด BM-21 แล้วลำเลียงชิ้นส่วนด้วยรถทางการเกษตร ก่อนนำมาประกอบเป็นยุทโธปกรณ์ประจำการอยู่ใกล้ชายแดนอีกประเด็นการสู้รบครั้งก่อน “กองพลน้อยกัมพูชา” ที่เคลื่อนกำลังเข้ามาใกล้ชายแดน “ฝ่ายไทย” ก็ได้สกัดทำลายกองกำลังรบนั้นจนถอยร่นออกไป แต่ครั้งนี้กองพลน้อยใช้วิธีไต่หน้าผาขึ้นมาซ่อนตัวตามชะง่อนผา เพื่อประชิดแนวหน้าฝ่ายไทยหลายจุด ทำให้เครื่องบินรบโจมตีทางอากาศได้จำกัดเกรงระเบิดจะกระทบกำลังฝ่ายไทยเรื่องนี้บีบให้ต้องโจมตีลึกเข้าไปในกัมพูชา เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงกำลังบำรุงจากเมืองยุทธศาสตร์ เช่น จ.อุดรมีชัย ทำให้มีรายงานว่าฝ่ายไทยโจมตีคลังแสงจรวด BM-21 ที่ถูกกักเก็บเตรียมนำเข้ามาชายแดนแล้วตามหลักนิยมของกองทัพไทยคือ “ต้องชิงโจมตีจุดตั้งจรวดก่อน” เพราะหากกัมพูชาตั้งฐานยิงสำเร็จไม่ว่าตำแหน่งใดก็สามารถยิงถึงฝั่งไทยได้ในไม่กี่นาที เมื่อกัมพูชาขนจรวดเข้ามามากขึ้น “ฝ่ายไทย” จำเป็นต้องเพิ่มการโจมตีเชิงรุก และขยายปฏิบัติการลึกเข้าไปด้านในกัมพูชาสกัดกั้นภัยคุกคามล่วงหน้าให้ได้มากที่สุดทว่าการที่ “ไทยปฏิบัติการลึกเข้าไปในเขตกัมพูชา” ก็ถือเป็นเรื่องปกติในสถานการณ์สู้รบ แม้แต่กัมพูชายังยิงจรวด BM-21 กว่า 5,000 นัดเข้ามาในเขตไทย “แทบไม่มีประเทศไหนทำบ้าคลั่งขนาดนี้” ยิ่งกว่านั้นยังมีบางลูกตกใกล้ รพ.พนมดงรัก ซึ่งละเมิดอนุ สัญญาเจนีวาในการโจมตีพื้นที่พลเรือน และโรงพยาบาลชัดเจนสร้างความเสียหาย และเป็นอันตรายต่อประชาชน “แม้ละเมิดอนุสัญญายิงอาวุธเข้ามาในเขตไทย” แต่ก็ยังไม่สามารถเอาผิดกัมพูชาได้ เพราะกฎหมายระหว่างประเทศแทบไม่มีบทลงโทษที่มีผลบังคับได้จริงจัง ส่วนใหญ่มักเป็นเพียงการประณามหรือกดดันทางการทูต แต่ก็ไม่มีประเทศใดมากดดันกับกัมพูชาจริงจังด้วยซ้ำด้วยเหตุนี้ “ไทยแทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการป้องกันตนเอง” โดยอาศัยหลักการป้องกันตัวล่วงหน้า หรือ preemptive self-defense กล่าวคือการชิงโจมตีก่อนเพื่อยับยั้งภัยคุกคาม หากปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสยิงจรวด หรือใช้อาวุธหนักมากขึ้นก็จะส่งผลกระทบทั้งต่อพี่น้องประชาชน และต่อที่ตั้งทางทหารของฝ่ายไทยอย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการทางทหารของไทย “ยังไม่ถึงขั้นส่งทหารราบเข้าไปยึดดินแดนของกัมพูชา” แต่เป็นการใช้อากาศยานโจมตีเชิงป้องกัน เพื่อสกัดไม่ให้ใช้อาวุธร้ายแรงยิงเข้ามาทำอันตรายฝ่ายเรา ซึ่งลักษณะนี้ถือว่าอยู่ในกรอบยอมรับได้ตามกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 51 ที่รับรองสิทธิของรัฐในการป้องกันตัวเองแล้วคำถามว่า “ไทยจะครอบครองพื้นที่ที่ยึดเพิ่มได้หรือไม่” เรื่องนี้สามารถครอบครองได้เพราะหากไม่เข้าไปยึดก่อน “กัมพูชา” ก็เข้ามายึดแทนแล้วอาจรุกล้ำลึกดินแดนกว่าเดิม “ไทย” จึงต้องควบคุมพื้นที่ไว้ เพียงแต่การยึดครองนั้นต้องตั้งรับในพื้นที่ให้ดี เพราะฝ่ายกัมพูชาอาจจะพยายามจัดกำลังกลับมาเข้าตีได้ตลอดเช่นนี้จึงต้องวัดกันด้วย “แสนยานุภาพและความพร้อมทางทหาร” เพราะฝ่ายกัมพูชาจะพยายามกดดันบีบให้ไทยไม่มีทางเลือกด้วยการกระทำที่เป็นการยั่วยุทางทหาร “อันมีเป้าหมายเพื่อยึดครองพื้นที่นั้น” ทำให้จำเป็นต้องมีแผนรองรับว่าเราจะใช้ทรัพยากรแค่ไหนในการปกป้อง และรักษาพื้นที่ที่ชิงคืนมานั้นจริงๆแล้วหลายประเทศก็ใช้วิธีนี้ “ยึดพื้นที่ไว้ก่อนค่อยมาคุยทีหลัง” ถ้ามีหลักฐานรองรับอ้างสิทธิ์อาจทำให้ไทยครอบครองพื้นที่ได้ถาวร แต่หากเราควบคุมพื้นที่เข้าไปในฝั่งกัมพูชามากเกินไปอาจเจรจาต่อรองปรับกันได้ เพราะพื้นที่ชายแดนยังคงเป็นสิทธิ์ทับซ้อนอยู่ เช่น ช่องอานม้า หรือปราสาทพระวิหาร แม้ศาลโลกมีคำตัดสินแล้วแต่หากไทยพบ “หลักฐานใหม่หรือตีความกฎหมายระหว่างประเทศในมุมมองใหม่” ก็อาจมีช่องทางเข้าควบคุมพื้นที่ได้และเมื่อควบคุมพื้นที่แล้วก็ต้องสามารถอธิบายในเชิงกฎหมายได้ว่าเป็นการป้องกันภัยคุกคามหรือกดดันให้กัมพูชาเข้าสู่การเจรจา ซึ่งแนวทางเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ในการบริหารสถานการณ์ของไทยประเด็นกรณี “ไทยสู้รบกับกัมพูชา” เรื่องนี้สามารถมองได้ 3 แนวทาง คือ 1.กรณีบุกถึงพนมเปญผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หรือไม่ เรื่องนี้ให้ลองดูตัวอย่างของสหรัฐฯในยุคประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เข้าโจมตีอิรัก และอัฟกานิสถานจากเพียงข้อสันนิษฐานว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะผู้ก่อการร้ายเท่านั้นสหรัฐฯก็ยังใช้สิทธิ์โจมตี “เข้าไปยึดครองจัดระเบียบใหม่ทั้งประเทศ” ดังนั้นหากไทยจะทำแบบนั้นก็ไม่มีใครห้ามเพียงแต่เราไม่ใช่มหาอำนาจแบบสหรัฐฯ อีกทั้งพนมเปญก็อยู่ใกล้ชายแดนเวียดนามมากกว่าไทย ดังนั้น การรุกลึกไปพนมเปญ “ย่อมใช้กำลังพลมาก” ซึ่งจำเป็นต้องประเมินให้ดีว่าจะได้คุ้มค่าหรือไม่อีกแนวทางหนึ่งคือ “การตอบโต้ตามสัดส่วน” เมื่อกัมพูชายิงอาวุธเข้ามาก็โต้กลับด้วยอาวุธที่มีอานุภาพใกล้เคียงกัน “อาจทำให้สถานการณ์สงบลงชั่วคราว” แต่หากกัมพูชาฟื้นฟูกำลังได้ก็อาจกลับมาโจมตีอีกเหมือนช่วงหยุดยิงปะทะกันในเดือน ก.ค.2568 ซึ่งครั้งต่อมามักจะกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมแนวทางที่สาม “การตอบโต้ตามสัดส่วนตามกฎการใช้กำลัง” แต่เพิ่มมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การโจมตีเป้าหมายทางทหารที่อยู่ลึกด้านใน เพื่อสกัดไม่ให้กัมพูชารวบรวมกำลัง หรือขนอาวุธเข้ามาใกล้ชายแดนได้ หากทำได้อย่างแม่นยำอาจทำให้กัมพูชาตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ และจำเป็นต้องกลับมาเจรจาแก้ไขปัญหาในที่สุดสุดท้ายย้ำว่ากัมพูชาคงไม่สู้แค่ “สนามรบชายแดน” แต่จะเดินเกมนำเรื่องเข้าฟ้องนานาชาติ “ไทย” จึงต้องเตรียมข้อมูลหลักฐาน เตรียมกฎหมาย เตรียมการทูตแบบเชิงรุกให้โลกเห็นว่า “ไทยเป็นฝ่ายป้องกันตนเองไม่ใช่ฝ่ายรุกราน” เพื่อตัดลดอำนาจต่อรองทางการเมืองของฝ่ายกัมพูชาในเวทีโลก.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม