เหตุการณ์สู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาตลอดแนว ชายแดนแม้ไม่ใช่สงครามเต็มรูปแบบ “แต่ก็สร้างความสูญเสียให้ทหารและพลเรือน” จนทำให้ประชาชนต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัวมาตลอดด้วยสถานการณ์ตึงเครียดยืดเยื้อมานาน “กระทบต่อการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชน” ทั้งในด้านการทำมาหากิน การทำเกษตรและเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ชะลอตัวลง “ชาวบ้าน” ต่างต้องเตรียมพร้อมอพยพหาที่หลบภัยทุกครั้งที่มีเสียงการปะทะเกิดขึ้น จนทำให้คุณภาพชีวิตลดลงก่อเกิดสภาวะความเครียดต่อเนื่องมาหลายเดือนทำให้ชาวบ้านเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งหามาตรการแก้ปัญหาจริงจังสะท้อนผ่าน กมนรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่เคยถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาตกใส่เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 คราวนั้นมีผู้เสียชีวิต 7 ราย และผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก บอกว่าการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก “แต่ภาครัฐก็มีความพร้อมกว่าเดิม พอมีเสียงปะทะกันด้วยปืนเล็ก” เจ้าหน้าที่ก็รีบแจ้งเตือนให้เร่งอพยพออกจากพื้นที่ทันที ทำให้โดยรวมดูมีความปลอดภัยกว่าครั้งก่อนที่คนในพื้นที่แทบไม่ทราบว่ามีการสู้รบกันจนมีการใช้อาวุธหนักยิงเข้ามาในเขตชุมชน ถ้าย้อนเหตุการณ์ครั้งนั้น “การสู้รบเกิดขึ้นตั้งแต่เช้า” แต่ก็ไม่คาดคิดจะลุกลามมาถึงในชุมชนแล้วภาครัฐก็ไม่มีสัญญาณแจ้งให้ประชาชนอพยพจนเวลา 10.40 น. กัมพูชายิงจรวด BM-21 ตกใส่ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันหลังจากนั้นหน่วยงานภาครัฐก็เพิ่งออกประกาศแจ้งให้ประชาชนอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยในช่วงเวลา 15.00 น.คราวนั้นตัวเองก็อยู่ในเหตุการณ์ปั๊มน้ำมัน “เห็นจรวด BM–21 คล้ายวัตถุดำๆพุ่งลงมา” ก่อนที่จะเกิดลูกไฟสองลูกพุ่งขึ้น ตอนนั้นทำได้แต่กรีดร้องด้วยความตกใจ และรีบตั้งสติพาพนักงานออกไปยังพื้นที่ปลอดภัย “แต่ไม่คิดว่าจะมีผู้เสียชีวิต” เพราะไฟเริ่มไหม้จากเพดาน เข้าใจว่าเป็นเพียงไฟไหม้จากแรงระเบิดบนหลังคาเท่านั้นภายหลังกลับเข้ามาก็เห็น “เจ้าหน้าที่ดับเพลิง” ในระหว่างนั้นก็เห็นร่างผู้เสียชีวิตถูกคลุมด้วยผ้าขาว ทำให้รู้ว่ามีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 คน และบาดเจ็บอีกมาก ซึ่งเป็นภาพสะเทือนใจไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอในชีวิตนี้กระทั่งมาเกิดการสู้รบกันครั้งนี้ “ก็ยังรู้สึกหลอนนอนไม่หลับ” เพราะกลัวเหตุการณ์จะเกิดขึ้นซ้ำรอยเนื่องจาก “กระสุนปืนใหญ่ยังตกลงในพื้นที่บ้านผือเหมือนเดิม” แม้จะยังไม่ตกลงตรงบริเวณภายในปั๊มน้ำมัน ปตท.โดยตรงก็ตาม แต่ก็ยังตกอยู่ใกล้ละแวกนั้นจึงรู้สึกกดดันอยู่ในภาวะหวาดระแวงกังวลมากพอสมควรเพราะปั๊มน้ำมันและร้านสะดวกซื้อที่เคยถูกจรวด BM-21 ตกใส่ ความเสียหาย 23 ล้านบาท “เพิ่งซ่อมแซมเสร็จไป” ด้วยความช่วยเหลือจากภาคเอกชนหลายฝ่ายทั้ง ปตท. บริษัททิพยประกันภัย และซีพี จนสามารถกลับมาให้บริการได้ปกติ ขณะที่ภาครัฐเคยบอกว่าจะช่วยเหลือเยียวยาก็ยังไม่กำหนดวงเงิน หรือกรอบเวลาชัดเจนเลยตอกย้ำ “ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา” ช่วงที่ผ่านมาสร้างความเดือดร้อนให้คนชายแดนมาตลอด ตั้งแต่การทำมาหากินชาวบ้านหยุดชะงัก รายได้ธุรกิจลดลง และไม่มั่นใจในความปลอดภัยกลัวเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก อีกใจก็อยากให้ความขัดแย้งยุติโดยเร็ว “หากยืดเยื้อเศรษฐกิจท้องถิ่นจะยิ่งทรุด” ชาวบ้านไม่กล้าใช้เงิน ไม่กล้าทำไร่ทำสวนออกเก็บของป่า “กลัวระเบิด” ทำให้ชีวิตประจำวันหยุดชะงักความเป็นอยู่ลำบากมากขึ้นทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเหตุผลที่ทุกคนในพื้นที่ “อยากเห็นปัญหาถูกแก้ไขให้สิ้นสุดโดยเร็ว” ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลจะเลือกวิธีจัดการกับกัมพูชาด้วยการเจรจา หรือการปฏิบัติการทางทหารก็แล้วแต่ เพื่อให้ได้ดินแดนกลับคืนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและแนวทางของรัฐบาลแต่สิ่งที่อยากเห็นคือการได้ดินแดนคืนอย่างชอบธรรมมีการตกลงกัน“แม้ในอดีต 2 ฝ่ายจะเคยอยู่กันแบบบ้านพี่เมืองน้องก็ตามแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นถึงจุดนี้ควรทำทุกอย่างให้มันจบ เพื่อป้องกันไม่ให้การสู้รบซ้ำรอยไปเรื่อยๆอันส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนชายแดน เพราะหลังเหตุครั้งก่อนแม้แต่เซลส์ขายปุ๋ย เฟอร์นิเจอร์ และยา ก็ไม่กล้าเข้าพื้นที่จนเศรษฐกิจหยุดชะงักมาถึงทุกวันนี้” กมนรัตน์ ว่าจริงๆแล้ว “เขตอำเภอชายแดนเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ” โดยมีผลผลิตทางการเกษตรมากมาย เช่น ทุเรียน ยางพารา เงาะ และมังคุด แต่เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบก็ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถออกไปกรีดยาง หรือเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เพราะเสี่ยงเจอกับระเบิดจนไม่มีรายได้ และไม่กล้าใช้เงิน ส่งผลให้เศรษฐกิจในอำเภอชะลอตัวเมื่อเงินหมุนเวียนหาย “งานบริการและการค้าขายก็ได้รับผลกระทบ” อย่างปั๊มน้ำมันเดิมลูกค้าเติม 300-500 บาท แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50-100 บาท จึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาอย่างถาวรอย่าปล่อยให้เกิดซ้ำซากโดยต้องทำให้ “กัมพูชายอมเข้ามาตกลงเรื่องเขตแดนให้ชัดเจน” หากการเจรจาสามารถทำให้สถานการณ์สงบลงได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะไม่มีใครอยากเห็นการบาดเจ็บล้มตาย แต่ที่สำคัญคือการเจรจาต้องได้ผลจริงๆ ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดการก่อกวนซ้ำอีก หรือถ้าต้องสร้างกำแพงในพื้นที่ใดก็ต้องกำหนดให้เรียบร้อย หากถามว่า “ใช้ความรุนแรงเหมาะสมหรือไม่” เรื่องนี้ฝ่ายไทยไม่ได้เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน แต่เราตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังเพื่อปกป้องความมั่นคงความปลอดภัยของทหารและประชาชนจากการยิงของฝ่ายกัมพูชา แล้วตามที่พูดคุยกับทหารในพื้นที่ย้ำเสมอว่า “เราไม่อาจยิงก่อน” หากถูกยิงด้วยปืนเล็กก็ไม่อาจใช้ปืนใหญ่ตอบโต้ได้ยิ่งทำให้เห็นว่า “ฝ่ายไทยพยายามหลีกเลี่ยงการยกระดับความรุนแรง” อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปได้ก็อยากให้เจรจาเป็นทางออก แต่เนื่องจากการเจรจามาหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ ทำให้ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป ขณะที่ทหารไทยอยู่แนวหน้าก็มีขีดจำกัดในการอดทนต่อการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาจึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ตอบโต้สุดท้ายก็ฝากถึงภาครัฐว่า “อยากให้ตัดสินใจเด็ดขาดจัดการปัญหาความขัดแย้งนี้ให้ทุกอย่างจบลงถาวร” ไม่ว่าจะเลือกวิธีการเจรจาก็ควรทำให้ได้ผลเป็นรูปธรรมชัดเจน แต่ถ้าหากใช้มาตรการด้านความมั่นคงก็ควรใช้อย่างเข้มข้นทำให้เด็ดขาด ไม่ใช่ติดขัดด้วยข้อจำกัด หรือขั้นตอนที่ยืดเยื้อจนไม่สามารถดำเนินการใดๆได้แล้วภาครัฐไม่ควรยึดติดภาพลักษณ์ในสายตาต่างประเทศมากจนเกินไป เรื่องนี้เป็นการแก้ปัญหาระหว่าง 2 ประเทศ หากตั้งใจจะจัดการความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก็ควรทำให้จบอย่าให้เหตุการณ์ลุกลามซ้ำต่อไปเรื่อยๆ เพราะ 3-4 เดือนมานี้ชาวบ้านต้องอยู่ในสภาพหวาดกลัวไม่รู้ว่าจะเจรจา หรือจะเกิดการสู้รบกันอีกเมื่อไรฉะนั้นภาครัฐต้องจบเรื่องนี้จะผ่านการเจรจา หรือมาตรการทางทหารก็ขอให้เกิดผลยั่งยืน “คืนความสงบสร้างความมั่นคงให้ชายแดน” เพื่อฟื้นฟูความมั่นใจ และคุณภาพชีวิตประชาชนกลับเป็นปกติ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม