สถานการณ์การสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ระอุทุกด้าน ทั้งฝั่งอีสานใต้จดชายฝั่งอ่าวไทยมีการปะทะดุเดือดข้ามวันข้ามคืน นำไปสู่การ ประกาศเคอร์ฟิว 5 อำเภอ จ.ตราด หลัง บก. ฉก.นย.ถูก M79 ยิงถล่มพบพิกัดยิงจากในประเทศ รวมถึงสั่งปิดกั้นอ่าวไทย สกัดเรือส่งน้ำมัน-ยุทธปัจจัยให้กัมพูชา รวมถึงงดออกเรือประมงใกล้ “เกาะช้าง-เกาะกูด-เกาะยอ-อ.คลองใหญ่” ขณะที่ผลจากการยึดเนิน 500 ช่องบก อ.น้ำยืน เจอทหารเขมรซุกขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถียุคที่ 5 รุ่น GAM-102LR สัญชาติจีนไว้เพียบ และล่าสุดจรวด BM-21 จากกัมพูชา ยิงถล่มภูมะเขือ ส่งผลทหารไทยพลีชีพอีก 1 ราย ชาวบ้าน อ.กันทรลักษ์ ตายอีก 1 ศพสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชายังปะทะกันดุเดือด ทั้งฝั่งอีสานใต้และขยายวงมาแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทยที่ จ.ตราด ที่มีการยิงปะทะตลอดคืนวันที่ 13 ธ.ค.ต่อเนื่องถึงวันที่ 14 ธ.ค.ยึดบ้านสามหลังได้สำเร็จผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 05.55 น. วันที่ 14 ธ.ค.สถานการณ์ชายแดนฝั่งบ้านชำราก อ.เมืองตราด นาวิกโยธิน กองทัพเรือ เปิดยุทธการตราดปราบปรปักษ์ ทำให้ไทยและกัมพูชาปะทะกันดุเดือดยาวนานกว่าชั่วโมง หลังจากเครื่องบินรบ F-16 ทิ้งระเบิดนำทาง ก่อนจะระดมปืนใหญ่ ปืนเล็ก ทั้งบริเวณจุดบ้าน 3 หลัง และเปิดแนวรบใหม่ กองร้อย 531 ฐานจอมมวย ตรงข้ามกับยุทธการบ้านชำรากที่เคยมีทหารกัมพูชาลักลอบเข้ามาตั้งบังเกอร์ และขุดแนวคูเลตล้ำเข้ามาในเขตไทย จึงต้องปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจุดบ้าน 3 หลัง มีเสียงยิงปืนเล็กสลับปืนใหญ่ดังต่อเนื่อง กระทั่งช่วงสายฝ่ายไทยสามารถปักธงชาติไทย ยืนยันเขตอธิปไตยของไทยได้สำเร็จยังปะทะโดยรอบ บ.หนองรีต่อมา พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือ โดยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) และหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก.นย.ตราด) เปิดปฏิบัติการทางทหารเพื่อยึดคืนพื้นที่อธิปไตยของไทย บริเวณบ้าน 3 หลัง บ้านหนองรี ตำบลชำราก อ.เมืองตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายตรงข้ามรุกล้ำเข้ามาอยู่ในดินแดนของประเทศไทย ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้ามืดมีการปะทะกันอย่างหนักในพื้นที่ ภายใต้หลักการใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากลและการรักษาอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ ณ เวลา 07.20 น. กองทัพเรือสามารถควบคุมและยึดพื้นที่ดังกล่าวได้แล้ว และขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากพื้นที่ได้ทั้งหมด พร้อมทั้งปักธงชาติไทยในพื้นที่ เพื่อแสดงถึงการยืนยันอธิปไตยของประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่บ้านหนองรีโดยรอบ ยังคงมีการปะทะกันเป็นระยะ จากการพยายามตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม กำลังของหน่วยนาวิกโยธินที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดำเนินการควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่องปก.เคอร์ฟิวตราด 5 อำเภอนอกจากนี้ เนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างการปะทะกัน พบว่ามีโดรนปริศนาบินว่อนทั่วเมือง สร้างความหวั่นวิตกให้ประชาชนว่าอาจเป็นโดรนพลีชีพจากฝ่ายตรงข้าม ทำให้ในวันที่ 14 ธ.ค.กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (เคอร์ฟิว) ในพื้นที่ 5 อำเภอ มีใจความสำคัญคือ อ้างตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 จึงกำหนดมาตรการรักษาความสงบ เรียบร้อย 1.ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลา 19.00-05.00 น. ในพื้นที่ จ.ตราด เฉพาะ อ.คลองใหญ่ อ.บ่อไร่ อ.แหลมงอบ อ.เขาสมิง และ อ.เมืองตราด กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ 2.ใช้มาตรการทางกฎหมายตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก อย่างเคร่งครัด อำนาจนี้ให้ครอบคลุมถึงการควบคุมพื้นที่การควบคุมบุคคล การตรวจค้น ที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ หรือกระทบต่อความมั่นคง ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงไอ้โม่งยิง M79 ใส่ นย.ตราดผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินของ กปช.จต. นอกจากเหตุโดรนปริศนาแล้ว มีรายงานว่า เมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 13 ธ.ค.มีการยิงปืน M79 ใส่กองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (บก.ฉก.นย.ตราด) จำนวน 3 นัด จากการคำนวณวิถีกระสุนแล้ว มั่นใจได้ว่ายิงมาจากภายในประเทศ เบื้องต้นกำลังพลปลอดภัยทั้งหมดเนื่องจากตกในที่โล่งเข้าควบคุมปราสาทคนาด้านกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) สรุปสถานการณ์การสู้รบไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 13 ธ.ค.หลังเกิดการปะทะหนักและประปรายในหลายพื้นที่ชายแดนฝั่งอีสานใต้ ที่ช่องสายตะกู พื้นที่ตาเมือนธม พื้นที่ช่องกร่าง พื้นที่ตาควาย ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในพื้นที่ของตนพื้นที่ปราสาทคนาและโดยรอบ ไทยสามารถเข้าควบคุมพื้นที่และทำลายบันไดส่วนหัวได้เรียบร้อย การสู้รบยังคงมีต่อเนื่อง ช่องจอม/ช่องเปรอ/ช่องระยี ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกัน ไทยสามารถควบคุมพื้นที่ได้แล้ว อยู่ระหว่างสถาปนาที่มั่นป้องกันการตีโต้ตอบ ช่องสะงำเป็นพื้นที่ที่ยังคงมีการเฝ้าระวัง และยังไม่มีการปะทะยึดครองได้อีกหลายจุดทภ.2 ระบุอีกว่าภูมะเขือ/ช่องโดนเอาว์/พลาญยาว/พลาญหินแปดก้อน ยังคงมีการยิงจรวด BM-21 เข้ามาอยู่เป็นระยะ เนื่องจากฝ่ายไทยยึดครองพื้นที่ไว้ทั้งหมด พื้นที่ซำแตทหารไทยสามารถควบคุมพื้นที่ได้แล้ว อยู่ระหว่างสถาปนาพื้นที่เพื่อป้องกันกัมพูชาตีโต้ตอบ พื้นที่ช่องอานม้า เนิน 677 ทหารไทยสามารถควบคุมได้แล้ว อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจต่อเนื่อง พื้นที่ช่องบกมีการยิงปะทะกันประปราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง ทางไทยสามารถทำลายที่ตั้งทางการทหาร คลังน้ำมัน/คลังกระสุนที่ตั้งยิงปืนใหญ่ และปืน ค. ป.และฐานที่ตั้งสแกมเมอร์ รวม 48 ที่แจงไม่มีชาวบ้านแขนขาดขณะที่ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ททบ.5 ระบุจำนวนผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ BM-21 ที่กัมพูชาโจมตีในพื้นที่ชุมชน จ.ศรีสะเกษ มีผู้บาดเจ็บ 6 ราย โดย 1 ราย กลับบ้านแล้ว อีก 5 รายยังรักษาอยู่ จำนวนนี้ 4 ราย รักษาอยู่ที่ รพ.ศรีสะเกษ อีก 1 รายรักษาอยู่ที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ยืนยันข่าวประชาชนแขนขาดไม่เป็นความจริง ตรวจสอบแล้วเป็นเพียงกระดูกหักเท่านั้น ยืนยันด้วยว่าไทยไม่ได้ยกระดับความขัดแย้ง การดำเนินการของฝ่ายไทยเพื่อป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และตอบสนองต่อภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากที่ฝ่ายกัมพูชาได้ทำมาโดยยึดหลักความจำเป็นตามสัดส่วนและมุ่งเป้าทางทหารเขมรลอบขุดคูเลตหลังปราสาทคนาด้าน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ภาพรวมการปฏิบัติการในจุดที่เป็นพื้นที่สีเขียวที่เราได้ควบคุมไว้แล้วยังไม่เปลี่ยนแปลง เราใช้การขยายผลในที่หมายที่ควบคุมไว้แล้ว ส่วนพื้นที่ปราสาทคนาควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อย นอกจากนี้ยังตรวจพบพื้นที่ปราสาทคนา ฉากด้านหลังเป็นกำแพงโบราณสถาน มีภาพการขุดคูเลตที่ใช้ในการหลบ บ่งชี้ว่ากัมพูชาเข้ามายึดพื้นที่ดินแดนไทยบริเวณโบราณสถาน ผิดหลักสากลอย่างมากและเราพยายามอย่างมากในการยึดพื้นที่คืน ซึ่งทำสำเร็จแล้ว ภาพนี้ยืนยันชัดเจนกัมพูชาใช้โบราณสถานเป็นที่ตั้งทางทหารคาดทหารกัมพูชาตาย 221 ศพพ.อ.ริชฌากล่าวว่า ประมาณการสูญเสียของฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่วันแรกของปฏิบัติการจนถึงปัจจุบัน ทั้งในส่วนกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) และกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ประกอบด้วย-ฐานที่มั่น-ที่ตั้งทางทหาร 51 แห่ง BM-21 จำนวน 1 ระบบ รถถัง 10 คัน ยานรบ/ ยานเกราะ 9 คัน ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (ปตอ.) 4 ระบบ ปืนใหญ่/ปืน ค. 7 กระบอก แอนตี้โดรน 5 ชุด โดรน 68 ลำ เสาสื่อสาร 3 จุด ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 221 นาย ทั้งนี้กองทัพบกดำรงความมุ่งหมายในการปฏิบัติ 2 ประการคือ จะต้องสถาปนาแนวชายแดนที่ถูกรุกล้ำกลับคืนมาให้ได้ และทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาที่ชัดเจนแล้วว่าเข้าโจมตีและเป็นภัยคุกคามทั้งต่อกำลังทหารและประชาชนให้หมดสิ้นสภาพ ทั้งกำลังพลยุทโธปกรณ์ที่ตั้งทางทหารและสิ่งสนับสนุนต่างๆยึดขีปนาวุธจีนจากฐานเขมรนอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองทัพบก ยืนยันว่าทหารไทยสามารถยึดระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถียุคที่ 5 รุ่น GAM-102LR สัญชาติจีน จากทหารกัมพูชา บนเนิน 500 ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ได้จำนวนมากโดยขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถี (ATGM) ยุคที่ 5 เป็นระบบนำวิถีที่มีความสามารถทันสมัยและตอบสนองทั้งงานต่อต้านรถถังและการโจมตีเป้าหมายยุทโธปกรณ์อื่นๆ ระบบรุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์ครบทั้งความแม่นยำสูงและความยืดหยุ่นในการใช้งาน ระยะยิง มาตรฐาน 6-10 กิโลเมตร ขีปนาวุธดังกล่าวเพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงต้นปีนี้ และถือเป็นการค้นพบอาวุธหนักและทันสมัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในแนวรบ ขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถี (ATGM) ยุคที่ 5 ผลิตโดยจีน บริษัทหลัก Poly Defence (สาย GAM/Bolas) ใช้ได้ทั้งโดยการบุกทางยุทธวิธีของทหารและติดตั้งบนยานพาหนะ คาดว่ากัมพูชายังไม่มีความชำนาญในการใช้ ประกอบกับฝ่ายไทยเข้าโจมตีและยึดพื้นที่ได้ก่อน จึงได้ทิ้งของแล้วหนีไปทหารยังเดินหน้าลุยตามแผนส่วน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่สังคมมีข้อสงสัยเรื่องการหยุดยิงว่ากองทัพบก ไม่เคยกล่าวถึงหรือมีแนวการปฏิบัติในเรื่องนี้ เนื่องจากปัจจุบันกัมพูชายังคงใช้อาวุธหนัก จรวด BM-21 เครื่องยิงลูกระเบิด และโดรนพลีชีพ โจมตีต่อกำลังทหารไทยในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยอย่างร้ายแรง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ติดตามสถานการณ์และมอบแนวทางการปฏิบัติเฉพาะส่วนอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันยืนยันว่า ยังไม่ได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติการของหน่วยในพื้นที่การรบแต่อย่างใด ยังคงสั่งการให้หน่วยทหารที่รับผิดชอบตลอดแนวชายแดน เดินหน้าปฏิบัติการตามแผนที่กำหนด พร้อมบูรณาการร่วมกับเหล่าทัพและหน่วยงานอื่นๆในการปฏิบัติอย่างเต็มที่ย้ำให้ทำตามเป้าหมายชัดเจนขณะเดียวกัน ผบ.ทบ.ได้กำชับให้ ทภ.1 และ ทภ.2 เน้นย้ำกำลังพลปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย ดำเนินกลยุทธ์ด้วยความรอบคอบ มุ่งสู่เป้าหมายหลักคือการผลักดันและมุ่งทำลายขีดความสามารถทางการทหารของกัมพูชา ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงองค์ประกอบสนับสนุนอื่นๆที่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม พร้อมยืนยันว่ากองทัพบกไทยโจมตีต่อเป้าหมายทางทหารที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเพียงเท่านั้น และเข้าควบคุมบริเวณที่เคยมีการรุกล้ำเขตอธิปไตยไทย เสริมความมั่นคงให้มีความสมบูรณ์ เอื้อต่อการปฏิบัติการทางทหารต่อไปในอนาคตปิดอ่าวไทยสกัดเรือส่งน้ำมันให้เขมรต่อมา มีหนังสือด่วนมาจากกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) และศูนย์บัญชาการทางทหาร (ศบท.) ถึงผู้รับปฏิบัติคือ กระทรวงกลาโหม และศูนย์บัญชาการกระทรวงกลาโหม และถึงผู้รับทราบ ได้แก่ รมว.กลาโหม ผบ.สส. ในฐานะผู้บัญชาการทางทหาร ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะรอง ผบ.ศบท. รองเสนาธิการทหาร ในฐานะรองเสธ. ศบท. กรมยุทธการทหารเรือ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และสำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม เพื่อดำเนินการ 1.เพื่อให้การปฏิบัติการทางทหารของกองทัพไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ที่ประชุมคณะผู้บัญชาการทหาร (คบท.) เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. มีมติในการดำเนินการต่อเรือไทยและหรือผู้ประกอบการไทยที่ใช้เรือไทยหรือเรือจดทะเบียนเรือสัญชาติอื่นๆ ลำเลียงและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง หรือสินค้ายุทธปัจจัยไปยังกัมพูชาทางทะเล เพื่อเป็นการลิดรอนและลดศักยภาพ ขีดความสามารถของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามต่อไทยให้ทะเลรอบเขมรเสี่ยงภัยสูง2. ตามข้อ 1.เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและทันต่อสถานการณ์ บก.ทท.ศบท.ขอให้กลาโหม ศบช.กห.พิจารณานำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยเร่งด่วน โดยมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้ 2.1 เสนอให้ สมช.พิจารณากลไกให้หน่วยงานทางทะเล ในศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กำหนดให้ 2.1.1. มีมติ สมช.เรื่อง ประกาศมาตรการระงับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้ายุทธปัจจัยไปยังประเทศกัมพูชา 2.1.2.ให้หน่วยงานใน ศรชล.ยกระดับมาตรการตามมาตรา 27 วรรค 2 และ 3 บูรณาการกลไกการควบคุมและเฝ้าระวังเรือสินค้าพาณิชย์ เรือประมง เรือสนับสนุนทำงานประมง ทั้งในส่วนของเรือไทยและผู้ประกอบการทางทะเล ที่เป็นเจ้าของเรือโดยตรงหรือทางอ้อมที่เป็นเจ้าของกิจการ ผู้บริหารกิจการกองเรือภาคการขนส่ง และการค้าระหว่างประเทศ และมีพฤติการลักลอบลำเลียงและส่งออกน้ำมันหรือสินค้ายุทธปัจจัยไปยังประเทศกัมพูชา 2.1.3.ให้ ศรชล. พิจารณาประกาศพื้นที่โดยรอบทะเลอาณาเขตรอบท่าเรือกัมพูชา เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยระดับสูงงดออกเรือประมง 3 เกาะ จ.ตราดขณะที่ช่วงเย็นวันเดียวกัน ทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ ได้ประกาศเรื่อง ขอความร่วมมืองดออกเรือทำการประมงในพื้นที่ทางทะเลจังหวัดตราดเป็นการชั่วคราว โดยเรียนสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงจังหวัดต่างๆ เจ้าของเรือประมง และไต๋เรือประมงทุกท่าน ว่า ด้วยปรากฏสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการเดินเรือและการประกอบอาชีพประมงในพื้นที่ทางทะเลจังหวัดตราด ทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ ขอความร่วมมือจากพี่น้องชาวประมงทุกท่าน งดออกเรือทำการประมงเป็นการชั่วคราว ในพื้นที่บริเวณที่มีสถานการณ์ ดังต่อไปนี้ 1.บริเวณด้านทิศใต้ของเกาะช้าง 2.บริเวณรอบเกาะกูด 3.บริเวณตรงข้ามเกาะยอ 4.บริเวณอำเภอคลองใหญ่ จ.ตราด ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงจากทางราชการสมรภูมิตาควายยังเดือดสำหรับสถานการณ์ตลอดวันที่ 14 ธ.ค. ยังคงมีการปะทะระหว่างฝ่ายไทยและกัมพูชาต่อเนื่อง มีการโจมตีด้วยอาวุธหลากชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวรบด้านเนิน 350 ช่องกร่าง และปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่ทหารกัมพูชาเริ่มเปิดฉากยิงปืนใหญ่ใส่ทหารไทยตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง ตามด้วยเวลา 08.25 น. ทหารกัมพูชายิงจรวด BM-21 เข้ามาใส่ทหารไทยเป็นชุดแรก โดยล่าสุดพบจรวด BM-21 ตกใส่ศาลาวัดไทยนิยมพัฒนา บ.ไทยนิยมพัฒนา อ.พนมดงรัก ซึ่งอยู่ใกล้กับปราสาทตาควาย ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีพียงรถของทหารถูกอาคารของวัดถล่มพังทับใส่ และรถไถนาของชาวบ้านที่จอดอยู่ในบ้านใกล้กับวัด ถูกระเบิดตกใส่ไฟไหม้เสียหาย 1 คัน โดยเป็นวัดเดิมที่ถูกระเบิดตกใส่มาแล้วในช่วงสงครามคราวก่อนร่วมกตัญญูสนับสนุนทุกภารกิจขณะที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ทั้งทีมจากส่วนกลาง และอาสาฯ อีกหลายจังหวัด แบ่งกำลังแยกย้ายในหลากหลายหน้าที่ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สุรินทร์ ทั้งส่วนจัดตั้งโรงครัวสนาม Rku ผลิตอาหาร ร่วมส่งพลังให้แนวหน้า ผลิตอาหารปรุงสุกส่งให้กับนักรบแนวหน้า และร่วมดูแลประชาชนในแนวหลัง ในศูนย์พักพิงชั่วคราว นอกจากนี้ ยังได้ช่วยสนับสนุนนำรถกู้ชีพเคลื่อนย้ายนักรบแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ นำไปส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลใน จ.นคร ราชสีมา ซึ่งจะเดินหน้าร่วมสนับสนุนภารกิจ จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะแนวหน้าไม่ถอย แนวหลังก็ไม่ท้อทหารพลีชีพรายที่ 16 ที่ภูมะเขือส่วนที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังเกิดความสูญเสียต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 10.20 น. ฝ่ายกัมพูชายิง BM-21 เข้ามาที่บังเกอร์ฐานปฏิบัติการอินทุมาน ภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ ทำให้ จ.ส.อ.อภิสิทธิ์ บุนนาค ชาว อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ตำแหน่งนายสิบพยาบาลประจำ พัน.ร.11 ในพื้นที่สนามรบ สังกัดกรมทหารราบที่ 16 พัน.3 (ร.16 พัน.3) เสียชีวิต 1 นาย นับเป็น รายที่ 16 ในการศึกรอบใหม่นี้BM—21 ทำชาวบ้านตายอีก 1 รายต่อด้วยเวลา 11.50 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.เสาธงชัย ว่า เกิดเหตุจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ระดมยิงลงในพื้นที่บ้านหนองเม็ก หมู่ 4 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ นายดร ปัจฉาพันธ์ อายุ 63 ปี อาชีพทำนา คาดว่าเสียชีวิตจากการถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณด้านหน้าโรงเรียนหนองเม็ก และบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายหลายหลัง นอกจากนี้ จากเหตุการณ์เดียวกัน ยังเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน จำนวน 1 หลัง จากแรงระเบิด BM-21 โดยบ้านที่ได้รับความเสียหายเป็นของนายดำ กุลศิริ พลเรือน หมู่ 1 ต.เสาธงชัย ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง นอกจากนี้ มีรายงานว่า บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงอีกหลายหลังถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหาย แต่ยังไม่สามารถเข้าตรวจสอบได้ เนื่องจากสถานการณ์การปะทะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งร่าง 4 ทหารกล้ากลับบ้านเกิดวันเดียวกัน มีการส่งร่างกำลังพลที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกับกัมพูชา กลับสู่ภูมิลำเนาเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา โดยตั้งแต่เช้าที่พุทธสถานมณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พันเอกณัฐดนัย ผาคํา เสนาธิการ มณฑลทหารบกที่ 22 พร้อมทหารกองเกียรติยศประกอบพิธีส่งร่าง 4 ทหารกล้า ได้แก่ 1.จ.ส.อ.ดำรงเกียรติ แก้วกระจ่าง ชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2.จ.ส.อ.ทวีรัตน์ รัตนบุรี ชาวจังหวัดกระบี่ 3.พลทหารมุสตากีม มาเจ๊ะมะ ชาวจังหวัดนราธิวาส ซึ่งทั้ง 3 เป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 และ 4.พลทหารกฤตฏิกร สร้อยระย้า ชาวจังหวัดสุพรรณบุรี สังกัดกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 9 โดยทหารทั้ง 4 นายเสียชีวิตจากระเบิดของปืนไร้แรงสะท้อน (ปรส.) ระหว่างการปะทะกันบนเนิน 677 ช่องอานม้า บ้านน้ำยืน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยร่างของ 4 ทหารกล้าถูกนำขึ้นเครื่องบิน C295 กลับไปยังบ้านเกิดของแต่ละคน เพื่อให้ญาติพี่น้องทำการบำเพ็ญกุศลศพและรับการพระราชทานเพลิงศพกับดินพระราชทานฝังศพจัดขบวนรับสมเกียรติทหารผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่เครื่องบิน C295 มาลงที่ บน.6 ดอนเมือง กทม. มีการจัดกองเกียรติยศส่งร่าง จ.ส.อ.ดำรงเกียรติ มาที่วัดหลวงพ่อเขียว อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา ส่วนร่างพลทหาร กฤตฏิกร สร้อยระย้า มาที่วัดหนองตะคลอง ต.หนองหญ้าไซ อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี จากนั้นเครื่องบินซี 130 ไปส่งร่างพลทหารมุสตากีม ที่สนามบินบ้านทอน จ.นราธิวาส แล้วนำร่างไปส่งที่สุสานบ้านสุแฆ ต.ดุซงยอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ตามด้วยร่าง จ.ส.อ.ทวีรัตน์ไปลงที่สนามบินนานาชาติกระบี่ ที่มีการจัดกองเกียรติศพไปส่งร่าง ณ วัดพระถ้ำโกบ หมู่ 2 ต.หน้าเขา อ.เขาพนม จ.กระบี่ประชาชนตั้งแถวรอรับร่างผู้กล้าทั้งนี้ ขบวนส่งร่างของทหารกล้าทุกราย ต่างมีกองทหารเกียรติยศ ข้าราชการ ประชาชน มารอรับร่างอย่างสมเกียรติชายชาติทหาร มีการเชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รวมถึงของพระบรมวงศานุวงศ์ วางที่หน้าหีบศพ พิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ได้แก่ จ่าสิบเอก ดำรงเกียรติ แก้วกระจ่าง ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดหลวงพ่อเขียว อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา มีพิธีสวดพระพิธีธรรม เวลา 17.00 น. วันที่ 14-17 ธ.ค. และมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ วันที่ 18 ธ.ค. เวลา 16.00 น. ขณะที่พลทหารกฤตฏิกร สร้อยระย้า ตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดหนองตะคลอง อ.หนองหญ้าไซ จนถึงวันที่ 16 ธ.ค. และพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ เช่นเดียวกับที่ จ.กระบี่ นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผวจ.กระบี่ พร้อมทหารกองเกียรติยศจาก มทบ.43 กองพันปฏิบัติการจิตวิทยา หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ข้าราชการ เหล่าทหารผ่านศึก และญาติของ จ.ส.อ.ทวีรัตน์ รัตนบุรี หรือจ่าแซม มารอรับร่างของจ่าแซมกลับมาประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดถ้ำโกบ ต.หน้าเขา อ.เขาพนม โดยพิธีจัดอย่างสมเกียรติ มีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ มอบตะกร้าสิ่งของและเงินพระราชทาน พระราชทานพวงมาลาหลวง และพวงมาลาประทาน พระราชทานพระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรมศพทุกคืน และพิธีพระราชทานเพลิงศพ วันที่ 18 ธ.ค.นี้“อนุทิน” ยัน “อันวาร์” ไม่ได้ให้หยุดยิงสำหรับความเคลื่อนไหวของนายอนุทิน ชาญ วีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ตลอดวันที่ 14 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงบ่าย นายอนุทินโพสต์เฟซบุ๊กข้อความที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีส่งถึง ระบุว่า “เรียนนายกฯอนุทิน คำแถลงของผม#ไม่ได้กล่าวถึงการหยุดยิง มีเพียงการเสนอให้ยุติการยั่วยุใดๆ ตั้งแต่เวลา 22.00 น.เป็นต้นไป ผมไม่ได้บอกว่าทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้ว” ขณะที่นายอนุทินโพสต์ว่า “คำแถลงข้างต้นถูกส่งมาถึงตนจากนายกฯอันวาร์ อิบราฮิม เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ซึ่งพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลไทยไม่มีแผนหรือข้อตกลงใดๆ ที่จะหยุดยิงกับศัตรูของเราตั้งแต่เวลา 22.00 น.ของเมื่อคืนวันที่ 13 ธ.ค. ประเทศไทยยืนหยัดอย่างมั่นคงในการรักษา ปกป้อง และพิทักษ์บูรณภาพของแผ่นดินและประชาชนของเราอย่างสุดกำลัง”นายกฯเยี่ยม ปชช.ที่สนามช้างฯจากนั้นเวลา 16.15 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย พร้อม พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจชาวบ้านที่ศูนย์อพยพสนามช้างอารีน่า จ.บุรีรัมย์ รวมถึงให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จุดต่างๆ และลงมือทำหอยทอดทะเล ส้มตำปลาร้า ให้ชาวบ้าน ให้กำลังใจกับทีมแพทย์ พยาบาล ที่เต็นท์ปฐมพยาบาลโรงพยาบาล บ้านกรวด เดินทักทายประชาชนที่จุดพักผ่อน พร้อมร่วมร้องเพลง “คนสุดท้าย” ของอัสนี-วสันต์ และเพลง “ซมซาน” ของโลโซ กับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สร้างรอยยิ้มให้กับชาวบ้าน โดยนายกฯกล่าวว่า ให้คนเข้ามาการันตีเรื่องความปลอดภัย ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้นายกฯ ไม่ได้แจ้งกำหนดการ แต่มีการไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งปรากฏว่า มีชาวกัมพูชาเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก“ทรัมป์” ขู่ลงดาบหากไม่หยุดรบอย่างไรก็ตาม วันเดียวกัน นางแอนนา เคลลี โฆษกทำเนียบขาว แถลงว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดหวังว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสู้รบระหว่างไทยและกัมพูชาจะเคารพและปฏิบัติตามเงื่อนไขถ้อยแถลงการณ์ร่วมกัวลาลัมเปอร์ ที่ลงนามเมื่อ 26 ต.ค. ซึ่งมีนายทรัมป์และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน โดยนายทรัมป์ต้องการให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดยิงกันโดยทันที และหากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่ยอมหยุดยิง นายทรัมป์จะหาคนรับผิดชอบเพื่อยุติการสังหารและฟื้นฟูสันติภาพ ที่ยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ คำแถลงของโฆษกทำเนียบขาวมีขึ้นหลังจากที่นายทรัมป์โทรศัพท์หารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่ยุติการสู้รบทภ.1 คาดทหารเขมรตาย 300 ศพ ต่อมาศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ จ.สระแก้ว ประจำวันที่ 14 ธ.ค. ณ เวลา 18.00 น. กกล.บูรพา ปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตย เป็นวันที่ 7 ได้ปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายกัมพูชา โดยสรุปความเสียหายของฝ่ายกัมพูชาที่พิสูจน์ทราบได้ ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. ถึงปัจจุบัน ได้แก่ บก.ควบคุม 1 แห่ง จุดตรวจการณ์/ฐานทหาร 11 แห่ง บ่อนกาสิโน 1 แห่ง บังเกอร์ 6 แห่ง ที่ตั้งยุทโธปกรณ์ 1 แห่ง ที่ตั้งยิงเครื่องยิงลูกระเบิด 4 แห่ง พื้นที่ส่งกำลัง/ที่รวมพล 2 แห่ง คลังกระสุน 2 แห่ง ยานเกราะ 3 คัน โดรนตรวจการณ์ 4 ลำ เสาสัญญาณสื่อสาร 4 ต้น และคาดว่าทหารกัมพูชา เสียชีวิตประมาณ 300 นายอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่