กลาโหมยืนยันทหารไทยยึด “ช่องอานม้า” ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กัมพูชายังระดมโจมตีไทย ตั้งแต่เช้ายันค่ำกองทัพภาคที่ 2 เฉลยแล้วหลังวิเคราะห์โดรนกัมพูชารุกไทยหนัก 5 วันติด ใช้เนิน 745, 677 พื้นที่สูงและใช้ระบบไฟเบอร์ออฟติกป้องกันเจมเมอร์ไทย ซากโดรน ชี้ร่องรอยต่างชาติคุมโจมตีไทยพบเทคนิคเดียวกับสมรภูมิยูเครน-รัสเซีย ไทยถล่มสะพานโจกเจย ตัดเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ของกัมพูชา ผอ.ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชายืนยันรัฐบาลแม้ยุบสภาแล้ว แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ดูแล ความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนได้อย่าง เต็มอำนาจตามกฎหมาย ทหารกล้าเสียชีวิตเพิ่มเป็นรายที่ 10-11 นำศพกลับภูมิลำเนาแล้ว “อนุทิน” เชิญสีหศักดิ์ร่วมวงถก “ทรัมป์” สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในแนวรบ 4 จังหวัดของภาคอีสาน คือที่ จ.อุบลราชธานี จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ และ จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ยังคงมีความรุนแรงต่อเนื่องตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง หลังฝ่ายทหารไทยพยายามบดขยี้ทำลายฐานที่ตั้งคลังอาวุธ คลังน้ำมันและจุดปล่อยโดรนสังหารของกัมพูชา เพื่อทำลายขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นภัยคุกคามไทยให้สิ้นซากและเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ทหารไทยได้ปฏิบัติการในจุดสำคัญอีกแห่งด้วยการยิงปืนใหญ่ทำลายสะพานโจกเจยหรือสะพาน K5 ปอยเปต-อุดรมีชัย ฝั่งกัมพูชา ตรงข้ามบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตัดเส้นทางลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์จากตอนเหนือของกัมพูชามาเสริมแนวหน้าไม่ให้ทะลุถึงไทย หลังจากเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. กัมพูชาพยายามเข้ายึดพื้นที่โดยระดมยิงจรวด BM-21ปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกระเบิดต่อเนื่องอาลัยรบพิเศษป่าหวายดับขณะเดียวกัน ทหารไทยได้หลั่งเลือดทาแผ่นดินยอมสละชีวิตเพื่อชาติอีก 1 ราย คือ ส.อ.พชร แย้มแตงอ่อน สังกัดกองพันรบพิเศษ ที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 1 (ร.พศ.1 พัน.2) รบพิเศษป่าหวายลพบุรี ที่ถูกระเบิดของกัมพูชาเข้าที่ศีรษะ ในการปะทะกับผู้รุกรานที่สมรภูมิเนิน 677 ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 10 ขณะที่มีทหารเสียชีวิตอีกรายคือ จ.ส.อ.วุธจักร โททอง หรือจ่าเจ สังกัดกองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ เป็นทหารหน้าแนวในพื้นที่ จ.สระแก้ว เสียชีวิตขณะรักษาโรคประจำตัวที่ รพ.พระมงกุฎ โดยเพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 1 โพสต์ข้อความว่า กำลังพลมีความตรากตรำในการปฏิบัติหน้าที่จนโรคประจำตัวกำเริบต่อมาอาการทรุดหนักและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. นับเป็นทหารรายที่ 11 ที่เสียชีวิตแม้ไม่ได้เกิดจากเหตุปะทะ กองทัพภาคที่ 1 ขอสดุดีที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจรักษาอธิปไตยของชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถร่าง “วีรบุรุษบึงตากวน” กลับบ้านเกิดต่อมาช่วงสายวันที่ 12 ธ.ค. บก.มทบ.12 เคลื่อนย้ายร่างของพลฯ ธนรัตน์ จันทร์ประทัด สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 112 วีรบุรุษบึงตากวน ที่ถูกกระสุนปืน ค. ของกัมพูชายิงใส่ยานยนต์ รบเสียชีวิตในสมรภูมิ บ้านบึงตากวน-บ้านคลองแผลง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เมื่อคืนวันที่ 10 ธ.ค.มายังค่ายจักรพงษ์ อ.เมืองปราจีนบุรี นำขึ้น ฮ.ไปสนามบินวัฒนานคร (กองบิน 3) จ.สระแก้ว แล้วนำขึ้นเครื่องต่อไปยังกองบิน 23 จ.อุดรธานี เพื่อส่งกลับบ้านเกิดที่ จ.หนองคาย มีนายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผวจ.อุดรธานี พล.ต.ประเสริฐ ข่าทิพย์พาที ผบ.มทบ. ที่ 24 นำทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนและญาติของพลฯธนรัตน์มารับร่างท่ามกลางความเศร้าโศก ก่อนนำศพพลฯธนรัตน์ขึ้นรถฮัมวี มทบ.24 เดินทางไป อ.เฝ้าไร่ จ.หนองคาย ประกอบพิธีทางศาสนาต่อไปชายแดนสุรินทร์ดุเดือดแต่เช้ามืดผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำจังหวัดสุรินทร์รายงานสถานการณ์การสู้รบว่า เมื่อเวลาประมาณ 06.30 น. วันที่ 12 ธ.ค. ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงทหารไทย ด้านปราสาทตาควาย ช่องกร่างและปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก ตลอดแนวอย่างหนัก มีการใช้กระสุนปืนใหญ่ ปืน ค. ยิงเป็นชุดๆเป็นระยะ แต่ไม่ยิงจรวด BM-21 เข้ามา จนถึงเวลา 08.30 น. ในพื้นที่ชายแดนช่องจอมกลับไร้เสียงปืนอย่างผิดปกติ ต่างจากเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่กัมพูชาเริ่มเปิดฉากยิงตั้งแต่ 7 โมงเช้า ด้วยการสาดจรวด BM-21 และกระสุนปืนใหญ่ รวมทั้งปืน ค. เข้ามาตกที่ใกล้หมู่บ้านด่านและตลาดช่องจอม โดยส่วนใหญ่ตกตามไร่นาหลายจุดระดมโจมตีไทยตั้งแต่ค่ำยันเช้ามืดเวลา 09.00 น. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวัน ว่า นับแต่ห้วงตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. เวลา 18.00 น. เป็นต้นมา ในห้วงค่ำจนถึงเช้ามืด ฝ่ายกัมพูชายังคงตรึงกำลังตลอดแนวชายแดน โดยใช้การยิงอาวุธปืนเล็กยาว ปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกระเบิดและโดรนลาดตระเวนเป็นระยะ บางช่วงมีการยิงอาวุธสนับสนุนวิถีโค้งใส่ที่มั่นฝ่ายไทยในพื้นที่ล่อแหลมหลายจุด ขณะเดียวกัน ข้าศึกมีความเคลื่อนไหวลักษณะเตรียมกำลัง เช่น การเพิ่มเติมยุทโธปกรณ์ เติมกำลัง การสับเปลี่ยนกำลัง การจัดกำลังยามกลางคืน ฝ่ายไทยดำเนินการระวังป้องกันพื้นที่ส่วนหน้าต่อเนื่อง โดยตอบโต้ด้วยปืนใหญ่และอาวุธยิงสนับสนุนตามความจำเป็น รวมทั้งใช้ระบบตรวจการณ์และโดรนเพื่อหาที่หมาย ขณะที่บางพื้นที่ยังพบการปะทะย่อยด้วยอาวุธปืนเล็กยาวเป็นช่วงๆวิเคราะห์โดรนกัมพูชาถล่มไทยขณะเดียวกัน มีรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่า จากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 5 วันที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าฝ่ายกัมพูชาใช้โดรนเป็นยุทโธปกรณ์ในการเข้าโจมตีฝั่งไทยหลายครั้ง กระทั่งตรวจพบว่าผู้ที่บังคับโดรนดังกล่าวไม่ใช่คนกัมพูชา จึงเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์จนชัดเจนว่า โดรนที่กัมพูชาใช้กับไทยคล้ายกับมีการใช้ในสงครามยูเครน—รัสเซีย การพัฒนาสงครามสมัยใหม่ทำให้โดรนกลายเป็นอาวุธที่เปลี่ยนรูปแบบการรบอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ “โดรน FPV แบบพุ่งชนหรือที่เราเรียกกันว่าโดน Kamikaze” ที่ใช้ในสงครามยูเครน-รัสเซีย เป็นต้นแบบสำคัญที่หลายประเทศนำไปประยุกต์ใช้ รวมถึงกัมพูชาใช้ในเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทยช่วงที่ผ่านมาคล้ายโดรนที่ใช้ในศึกยูเครน-รัสเซียการตรวจจับสัญญาณยังพบการเข้ามาจากทิศทางกัมพูชาในห้วงเวลาเดียวกับการปะทะ ทำให้ยืนยันได้ว่าการโจมตีดังกล่าวมีแบบแผนและถูกควบคุมโดยผู้ที่มีความรู้ในระบบ FPV อย่างจริงจัง สำหรับความแม่นยำในการโจมตี จุดเลือกพื้นที่และพฤติกรรมการบิน ล้วนสะท้อนว่าผู้ควบคุมโดรนมีประสบการณ์มาก่อน ไม่ใช่กำลังพลกัมพูชาที่เพิ่งฝึกใช้โดรนเป็นครั้งแรก ความสามารถเช่นนี้ต้องอาศัยการฝึกระดับสูง เป็นไปได้ว่าเกิดจากการสนับสนุนของบุคคลนอกประเทศหรือผ่านสมรภูมิจริงมา แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการและการฝึกเป็นระบบ ไม่ใช่ความสามารถระดับพื้นฐานของทหารกัมพูชาในอดีตยันเทคโนโลยีเขมรไม่เหนือไทยตอนท้ายของรายงานระบุด้วยว่า จากการประเมิน ทั้งหมดนี้สามารถสรุปได้ว่า กัมพูชาไม่ได้มีความเหนือกว่าไทยในด้านเทคโนโลยีทางทหาร แต่ได้เปรียบจาก “การเลือกพื้นที่โจมตีที่เหมาะสม ร่วมกับการนำเทคนิคและน่าจะมีการบุคลากรจากสงครามยูเครน—รัสเซียมาใช้จริง” ทำให้โดรนของกัมพูชามีประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อันเป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องนำไปพัฒนากำลังรบในมิติใหม่ของสงครามโดรนต่อไปนย.ลุยต่อจนกว่ายึดบ้าน 3 หลัง 100%นอกจากนี้ หลังจากกองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 เข้าทิ้งระเบิดทำลายเป้าหมายจุดบ้าน 3 หลัง ตามด้วยการยิงสนับสนุนจากเรือรบและภาคพื้นดิน ส่งผลให้ทหารฝ่ายกัมพูชาที่หลบซ่อนอยู่ในแนวบังเกอร์และคูเลตเสียชีวิต 6 ศพ นาวาเอกธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ผบ.ฉก.นย.ตราด) ยืนยันว่า ยุทธการ “ตราดปราบปรปักษ์” ยังดำเนินต่อจนกว่าจะยึดบ้านสามหลังได้สำเร็จ 100% และเคลียร์พื้นที่จนปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่มีผลกระทบต่อทหารแนวหน้า พร้อมกันนี้ฝากถึงผู้ที่อยู่ในศูนย์อพยพ อย่าเพิ่งรีบกลับเข้าในพื้นที่จนกว่าจะมีประกาศจากทางราชการอย่างเป็นทางการทหารกัมพูชาตายกว่า 165 ศพขณะที่ น.อ.นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นของฝ่ายกัมพูชา ณ วันนี้ ฝ่ายไทยสามารถทำลายยานเกราะและรถถังของฝ่ายกัมพูชาได้ 9 คัน โดรน 68 ลำ แอนตี้โดรน 1 ระบบ เสาสื่อสาร 3 จุด เครื่องยิงจรวด BM-21 1 ระบบ ทหารกัมพูชาที่เสียชีวิต ยืนยันว่ามีไม่น้อยกว่า 165 รายบิ๊กทหารเขมรโดนปืนใหญ่เจ็บสาหัสช่วงบ่าย กองทัพภาคที่ 2 รายงานเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพิ่มเติมว่า เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. กัมพูชาใช้อาวุธปืนใหญ่ยิงเข้ามายังฝั่งไทยในหลักพื้นที่ สถานการณ์ในพื้นที่ยังมีการปะทะอย่างหนักจำนวน 12 พื้นที่ได้แก่ ช่องบก ช่องอานม้า พลาญบั้งไฟ พนมประสิทธิโส เขาสัตตะโสม ห้วยตามาเรีย ภูมะเขือ ช่องโดนเอาว์ พลาญหินแปดก้อน พื้นที่ปราสาทคนา พื้นที่ปราสาทตาเมือน และพื้นที่ปราสาทตาควาย กัมพูชายังคงใช้วิธีการตอบโต้ด้วยจรวด BM-21 และปืนใหญ่ ฝ่ายไทยตอบโต้อย่างได้สัดส่วนเช่นกัน กัมพูชายังคงใช้โดรนเข้ามาทิ้งระเบิดยังไทยอย่างต่อเนื่องที่ช่องอานม้า ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากฝั่งกัมพูชาว่า พลจัตวาพน ซารุม รอง ผบ.กองพลน้อยสนับสนุนที่ 8 ผู้บัญชาการกองพันสนับสนุนที่ 384 รับผิดชอบพื้นที่ตาซึม ตรงข้ามช่องโดนเอาว์ ติดกับภูมะเขือ ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการโดนกระสุนปืนใหญ่ฝ่ายไทย ถูกนำตัวส่ง รพ.เปรียะเกตุมาลา กรุงพนมเปญไม่หวั่นแม้ยุบสภายังรบต่อได้ด้าน พล.อ.อ.ประภาส สอนใจดี ผอ.ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เปิดเผยว่า แม้มีการยุบสภาเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. แต่รัฐบาลยังคงปฏิบัติหน้าที่ มีอำนาจดูแลความมั่นคงของประเทศอย่างครบถ้วนตามกฎหมาย เพื่อให้การปกป้องประชาชนไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ชายแดนมีความตึงเครียดจากการที่กัมพูชาดำเนินการรุกล้ำโจมตีไทยก่อนในหลายพื้นที่ กองทัพไทยจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อยุติการคุกคามชีวิตประชาชนและรักษาอธิปไตยของชาติ รัฐบาลและกองทัพยืนยันว่า ยังคงสั่งการและปฏิบัติการได้ตามอำนาจกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ กฎอัยการศึกในพื้นที่ชายแดนมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายความมั่นคงของไทย ศูนย์จะรายงานสถานการณ์อย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และจะปกป้องแผ่นดินไทยอย่างเด็ดขาดชอบธรรม เพื่อความสงบสุขของประชาชนไทยเป็นสำคัญ เราจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยความร่วมมือ ความเชื่อมั่นและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวไทยทุกคนกห.โพสต์ “ช่องอานม้า 100%”ช่วงเย็น ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงมีการปะทะกันอย่างดุเดือด ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา หลังจากทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายใช้อาวุธเปิดฉากโจมตีฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. บริเวณพื้นที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จนเกิดเหตุการณ์บานปลายและมีการปะทะกันในหลายพื้นที่ ทำให้มีทหารไทยบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนายนั้น เมื่อเวลา 16.20 น. วันที่ 12 ธ.ค. เพจเฟซบุ๊กสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความอัปเดตสั้นๆ ว่า “ช่องอานม้า 100%” ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมาก เข้ามาเเสดงความเห็นแสดงความยินดีที่สามารถยึดพื้นที่ได้“อนุทิน” อัปเดตชายแดนกับ “ทรัมป์”อีกด้าน ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 10.10 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีมีกระแสข่าวนัดหารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า จะหารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในเวลา 21.20 น. เป็นการอัปเดตสถานการณ์หลังจากพูดคุยกันล่าสุดตอนที่ตามเสด็จที่ประเทศจีน แต่เรื่องการตัดสินใจดำเนินการอะไรต่างๆ เป็นเรื่องของรัฐบาลไทยที่สนับสนุนและมอบอำนาจให้กองทัพดำเนินการ รัฐบาลรักษาการก็มีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดิน มีข้อยกเว้นบางอย่าง แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ข้อยกเว้นนั้นก็ไปอธิบายกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และถ้าเป็นความจำเป็นเร่งด่วนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเชิญสีหศักดิ์ร่วมวงคุยต่อมาช่วงบ่าย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย เข้าหารือกับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหมและ ผบ.เหล่าทัพ เตรียมข้อมูลก่อนการหารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อถามว่ากองทัพได้วางหลักการในการพูดคุยกับนายโดนัลด์ ทรัมป์หรือไม่ว่าอะไรยอมได้อะไรยอมไม่ได้ นายอนุทินกล่าวว่า มีการพูดคุยกันตนได้รับข้อมูลมา ในการหารือกับนายทรัมป์จะเชิญนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ มาเข้าสายด้วยกัน เพื่อให้เกิดการรับรู้อย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทย ส่วนที่มีการประเมินว่าไทยได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า “ผมว่าดีก็แล้วกัน”อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่