คัมภีร์พุทธศาสนาเล่มที่เล่าเรื่องนรกสวรรค์ได้ชัดแจ้ง จางปางกว่าเล่มไหน ชื่อปายาสิราชัญญสูตร อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก เขียนไว้ในหนังสือ สวนทางนิพพาน (มติชนพิมพ์ ม.ค.2557) ในหัวข้อเรื่องยั่วใจให้อ่าน นรก-สวรรค์ มีจริงหรือ?ในสมัยพุทธกาล ภิกษุณีรูปหนึ่งถูกพระเทวทัตสั่งสึก แต่พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระอุบาลีสอบใหม่ ทรงแนะให้นางวิสาขามหาอุบาสิกาและผู้รู้ชาวสาวัตถีช่วยสอบถาม สุดท้ายเธอก็พ้นผิด เพราะความจริงว่า ท้องมาก่อนบวชนางภิกษุณีรูปนี้ เป็นมารดาของพระกุมารกัสสปะ พระเถระผู้เชี่ยวชาญการอธิบายข้อธรรม หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่นาน มีเจ้าผู้ครองเมืองเสตัพยะ แคว้นโกศล ชื่อปายาสิ ชื่อเสียงเลื่องระบือทรงเชื่อว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว นรกไม่มี สวรรค์ไม่มีคนระดับเจ้าเมืองไม่ได้จู่ๆก็คิดขึ้นมา แกสั่งญาติพี่น้องคนที่ทำชั่ว “พวกสมณะเขาว่าคนทำชั่วเช่นพวกท่าน ตายแล้วต้องไปเกิดในนรก เพราะฉะนั้นเมื่อท่านตาย...ช่วยกลับมาบอกให้หายสงสัย ไปตกนรกจริงๆจนแล้วจนรอด คนที่รับปาก ไม่มีใครกลับมาบอก...สักคนเพื่อย้ำให้แน่ใจ ปายาสิก็สั่งญาติพี่น้องคนดีๆเคร่งศีลธรรม ถ้าตายแล้วไปอยู่เมืองสวรรค์หรือไม่? ทุกคนก็รับปาก แต่เรื่องก็เข้าอีหรอบเดิม ไม่มีใครกลับมาบอกสักคนเหมือนกันบทพิสูจน์นี้ เสตัพยะก็เชื่อแน่นแฟ้น ชาติหน้าไม่มี สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี คนทำดีไม่ได้ดี คนทำชั่วก็ไม่ได้ชั่ว แกจึงเหมาเอาว่า พระสงฆ์องค์เจ้าหลอกชาวบ้านเอาลาภสักการะ ใช้นรกมาขู่ ใช้สวรรค์มาล่อคนระดับเจ้าเมือง ความรู้ดีฝีปากเฉียบ เจอพระสงฆ์ก็ระราน ไม่มีองค์ไหนเถียงสู้ งานนี้จึงเป็นของกระบี่มือหนึ่ง...พระกุมารกัสสปะ ต้องเดินไปเมืองเสตัพยะ โดยมีกองเชียร์หลายฝ่ายแห่แหนเป็นพยานกุมารกัสสปะ...มหาบพิตร ได้ทราบว่า ทรงเห็นว่าโลกหน้าไม่มี นรกสวรรค์ไม่มีหรือ? ปายาสิ...เป็นเช่นนั้น”กุมารกัสสปะ...เพราะเหตุใดมหาบพิตรจึงเชื่อเช่นนั้น ปายาสิ ...โยมเคยทดลองสั่งให้ญาติที่ทำความชั่ว ถ้าตายไปเกิดในนรกก็ขอให้กลับมาบอก ก็ไม่มีใครกลับมาบอก แสดงว่าไม่ไปตกนรก โลกหน้าที่ว่าไม่มี นรกไม่มีกุมารกัสสปะ...ขอย้อนถามมหาบพิตร นักโทษที่กำลังนำไปสู่ที่ประหาร ถ้าแกขอร้องให้ปล่อยชั่วคราว เพื่อไปสั่งเสียลูกเมีย แล้วจึงกลับมาประหาร จะได้รับอนุญาตหรือไม่? ปายาสิ...ไม่ได้สิ ถ้าแกไปแล้วไม่กลับมาจะไปกันใหญ่กุมารกัสสปะ...เรื่องนี้ฉันใด คนทำชั่วก็ฉันนั้น คนทำชั่วตายไปแล้ว ไปเสวยทุกข์ในนรก ไม่มีอิสรภาพ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ดุจเดียวกับนักโทษเด็ดขาดที่เขาคุมตัว ฉะนั้น แม้ญาติๆมหาบพิตรจะไม่ลืมคำสัญญา แต่ก็ไม่สามารถจะปลีกตัวมาแจ้งข่าวให้ทราบได้ปายาสิ...คนตกนรก ไม่มีเสรีภาพ โยมเข้าใจ แต่คนเกิดบนสวรรค์ จะไปไหนมาไหนก็ได้มิใช่หรือ? ทำไมญาติๆที่ไปเกิดบนสวรรค์เขาไม่กลับมาบอกโยมบ้างเล่า?กุมารกัสสปะ...มหาบพิตร อาตมาขอถาม สมมติบุรุษหนึ่ง ตกหลุมอุจจาระ คนเขายกขึ้นมา พาไปอาบน้ำให้สะอาด อาตมภาพขอถาม บุรุษคนนั้น อยากจะกระโดดลงไปในหลุมอุจจาระอีกไหม?ปายาสิ...ไม่ พระคุณเจ้า เขามีร่างกายสะอาดแล้ว ไฉนเขาจะยินดีตกลงไปในหลุมอุจจาระอีกเล่า!กุมารกัสสปะ...ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่ไปเกิดบนสวรรค์ย่อมจะยินดีในวิมานแมนสรวง เรื่องอะไรเขาจะอยากกลับมาอยู่ในมนุษย์โลกอันเน่าเหม็นดุจหลุมอุจจาระอีกเล่าอีกอย่าง แม้ว่าเขาอยากจะมาบอก เขาก็ทำไม่ได้ เพราะวันหนึ่งคืนหนึ่งสวรรค์ เท่ากับร้อยปีโลกมนุษย์ สมมติเทวดาไม่ลืมสัญญาคิดว่าเดี๋ยวจะลงมาบอก “เดี๋ยว” ของเทวดาเกือบร้อยปี ตอนนั้นมหาบพิตรก็เป็นเถ้าถ่านนานแล้วอาจารย์เสฐียรพงษ์สรุป การอธิบายสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตา ยากที่จะเชื่อ แต่ใช้อุปมาอุปไมย ก็ทำให้เห็นภาพหายสงสัยได้ ถ้าอุปมา อุปไมยรับกันสมเหตุสมผล บางทีก็ไม่ต้องอธิบายให้เปลืองน้ำลาย ผู้ฟังแจ้งจางปางทันทีนี่! เป็นปุจฉาวิสัชนาเมื่อ 2,500 ปี นะครับ...แต่คนในโลกเราวันนี้ เขาเชื่อกันว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ และข้อสำคัญ สวรรค์มีตา นรกมีมือ...แต่อย่าเพิ่งแน่ใจ...สวรรค์นรกของเขมรและไทยเหมือนกัน.กิเลน ประลองเชิง