นายกฯอนุทินแถลงผลปราบปรามเครือข่ายขบวนการสแกมเมอร์ของเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยเปิดปฏิบัติการปูพรมค้นเป้าหมาย 50 จุด 22 จังหวัดทั่วประเทศ จับกุมผู้ต้องหา 29 คน สรุปยอดอายัดทรัพย์สินทั้งคดีนายยิม เลียก ที่มีความเชื่อมโยงกับนายเบน สมิท คดีนายก๊ก อาน คดี น.ส.แตงไทย ยึดทรัพย์สินได้มหาศาลมูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาท นายกฯเผยสั่งการให้ถอนสัญชาติไทยของนายยิม เลียก หลังตรวจสอบพบได้สัญชาติผิดกฎหมายพร้อมยืนยันหากมีหลักฐานพบผู้กระทำผิดเกี่ยวข้อง “เบน สมิท” ต้องดำเนินคดีไม่มีการละเว้น ไม่ว่าบุคคลจะมีชื่อเสียงเพียงใด ถ้าไม่ดำเนินการ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นายกฯแถลงผลปราบสแกมเมอร์ยึดทรัพย์ได้รวมกว่าหมื่นล้านบาท เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 3 ธ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานในการแถลงผลปฏิบัติการ“ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ” มีนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. และนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ร่วมแถลงข่าวผลการปฏิบัติการปูพรมตรวจค้นเป้าหมาย 50 จุดใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดและยึดของกลางรายการ มีทั้งเรือยอชต์ รถหรู ที่ดิน และอายัดเงินในบัญชี ผู้กระทำผิดทั้งหมดรวมมูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาท ชุดปฏิบัติการเปิดเผยถึงผลการตรวจยึดทรัพย์คดีของนายยิม เลียก จุดเริ่มต้นมาจากการที่รัฐบาลเร่งจัดการปัญหาสแกมเมอร์และความมั่นคง แก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย เชื่อมโยงถึงบุคคลสำคัญในประเทศไทยที่อาจเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว โดยเฉพาะนายยิม เลียก ลูกชายของรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นประธานของกลุ่มบริษัท BIC Group เครือข่ายทุนการเงินรายใหญ่ของกัมพูชา เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างเศรษฐกิจและธุรกิจของกัมพูชา ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีพฤติการณ์นำเงินจากการกระทำความผิดมาฟอกเงิน หรือใช้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยจากการสืบสวนเส้นทางการเงินผู้เสียหายเบื้องต้นกว่า 700 ราย พบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีกว่า 40 บัญชี เจ้าของบัญชีมีประวัติเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมฉ้อโกงทางออนไลน์ และคดีร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน มีการโอนเงินต่อกันเป็นทอดๆไปยังบัญชีของนายยิม เลียก ที่เป็นผู้ต้องหาในคดี ตรวจสอบพบว่าเปิดบัญชีธนาคารในประเทศไทย 2 บัญชีธนาคาร รวมทั้งแนวทางการสืบสวนพบความเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างยิม เลียก กับนายเบน สมิธ นักธุรกิจต่างชาติที่ถูกสหรัฐฯ จัดอันดับอยู่ในกลุ่มบุคคลเสี่ยงเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ระดับนานาชาติ ทั้งคู่มีบริษัทในไทยที่ตั้งอยู่ที่เดียวกัน และมีการถือหุ้นไขว้ระหว่างภรรยาของทั้งสองฝ่าย เฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการบินส่วนตัว เป็นรูปแบบธุรกิจที่ถูกใช้อำพรางเส้นทางเงินผิดกฎหมายบ่อยครั้ง ทั้งคู่เป็นศูนย์กลางรับและกระจายเงินของเครือข่ายสแกมเมอร์ รวมถึงทำหน้าที่สนับสนุนโครงสร้างธุรกิจ เนื่องจากทั้งสองมีเส้นสาย ความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้มีอำนาจในกัมพูชาสามารถหลีกเลี่ยงตรวจสอบหลังจากสืบสวนได้ข้อมูลแน่ชัด พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะรอง ผอ.ศปอส.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. ตั้งทีมสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาออกหมายจับ ผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด 42 คน ข้อหาเป็นหัวหน้าอั้งยี่, ซ่องโจร, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน จากนั้นเปิดปฏิบัติการตรวจค้น 50 จุด ใน 22 จังหวัด จับกุมผู้ต้องหาบัญชีม้าได้ 29 คน อยู่ระหว่างติดตามตัว 13 คน ในจำนวนนี้มี 3 คนที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ได้แก่ นายยิม เลียก ภรรยาชาวไทย และบัญชีม้าคนสำคัญของเครือข่าย ขยายผลอายัดทรัพย์สินกว่า 75 รายการ ทั้งรถยนต์หรู บัญชีธนาคาร ที่ดินหลายแปลง เงินสด รวมมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทในส่วนของเจ้าหน้าที่ ปปง. มีการสืบสวนขยายผลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปราบปรามสแกมเมอร์ (Scammer) ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการฉ้อโกงประชาชน สามารถยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ 4 กลุ่มคดีใหญ่ เริ่มต้นจากคดีนายเฉิน จื้อ กับพวก ที่เป็นเครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์และค้ามนุษย์ที่มีฐานใหญ่ในกัมพูชา เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท Prince Holding Group มีพฤติการณ์ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล และสับเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ต่างๆในรูปแบบไฮบริดสแกม คณะกรรมการฯสั่งยึดทรัพย์สินกว่า 102 รายการ มูลค่าประมาณ 373 ล้านบาท และคดีนายก๊ก อาน (Mr.Kok An) เจ้าของอาคารหลายแห่งในกัมพูชาที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการใช้บัญชีม้าสแกนใบหน้าเพื่อโอนเงินและนำเงินที่ได้มาซื้อทรัพย์สินในไทยให้ผู้อื่นถือครองแทน คดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 90 รายการ มูลค่าประมาณ 467 ล้านบาทส่วนคดีที่มีมูลค่าความเสียหายและยึดทรัพย์ได้สูงที่สุดคือ คดี น.ส.แตงไทย บ้านมะหิงษ์ กับพวก เชื่อมโยงกับนายยิม เลียก (Mr. Leak Yim) และนายเบน สมิท (Mr.Smith Ben) บุคคลใกล้ชิดทายาทผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา มีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ และมีการโอนเงินหมุนเวียนระหว่างบริษัททั้งในและต่างประเทศอย่างซับซ้อนเพื่ออำพรางธุรกรรม คณะกรรมการมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินประเภทที่ดิน ห้องชุด และหลักทรัพย์ต่างๆ จำนวน 66 รายการ รวมมูลค่าสูงถึง 9,279 ล้านบาท นอกจากนี้ยังยึดรถหรูเพิ่มเติมอีก 3 คัน ได้แก่ ZEEKR รุ่น 009 FERRARI รุ่น 488 GTB และ PORSCHE รุ่น CAYENNE S E-HYBRID COUPE ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินราคา นอกจากนี้มีคดีนายเอื้ออังกูร สันติรักษ์โยธิน กับพวก เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนประชาชนลงทุนเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max สร้างข้อมูลกำไรเท็จเพื่อจูงใจ ก่อนจะนำเงินที่หลอกลวงได้ไปแปลงเป็นเหรียญดิจิทัล (USDT) ส่งต่อไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ คดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 31 รายการ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาทผู้สื่อข่าวถามนายอนุทินถึงประเด็นความเชื่อมโยงกับบุคคลระดับสูง โดยเฉพาะกรณีที่นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมว.คลัง และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ารู้จักกับ “เบน สมิท” นายอนุทินกล่าวว่า การรู้จักกันเป็นการส่วนตัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ในทางปฏิบัติ ตนได้มอบนโยบายชัดเจนว่า ให้ดูที่การกระทำเป็นหลัก หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร ต้องดำเนินคดีอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีการละเว้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีชื่อเสียงเพียงใด ยึดหลักการทำงานที่ว่า “ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม” คือไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร ให้ดูพฤติการณ์การกระทำความผิด หากตนไม่ดำเนินการก็จะตกเป็นผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียเองนายอนุทินเปิดเผยถึงมาตรการเด็ดขาดต่อกลุ่มทุนสีเทาที่แฝงตัวเข้ามาว่า ได้สั่งการไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทยให้ดำเนินการเพิกถอนสัญชาติไทยของนายยิม เลียก ประธานกรรมการ BIC Bank ธนาคารพาณิชย์กัมพูชา หลังตรวจสอบพบว่าได้สัญชาติไทยมาจากการสมรสกับหญิงไทย (หมวด 6) โดยให้ดำเนินการตามมาตรฐานเดียวกับรายอื่นๆ ที่ถูกเพิกถอนไปก่อนหน้านี้ นายอนุทินได้กล่าวชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงานที่ทุ่มเททำงานหนักท่ามกลางความเสี่ยง พร้อมย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้แม้เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 8 สัปดาห์ แต่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉย และจะเดินหน้ากวาดล้างขบวนการเหล่านี้ต่อไปอย่างไม่มีวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงปีใหม่หรือเทศกาลใด“อาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีการพัฒนา ตลอดเวลา เหมือนกับวลี Catch me if you can (จับฉันให้ได้ถ้านายแน่จริง) แต่ในฐานะรัฐบาลและผู้รักษากฎหมาย เราต้องตอบกลับไปว่า I can always catch you (ฉันจับแกได้เสมอ) เราจะไม่หยุดปฏิบัติการเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและประเทศชาติ” นายอนุทินกล่าวอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่