โฆษกกองทัพภาคที่ 1 ไม่ทน ประณามกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทยก่อความรุนแรง ใช้เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ยั่วยุสร้างภาพกล่าวหาไทยทำร้าย ด่าเจ็บให้เลิกยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิง ส่วนพระสงฆ์กัมพูชาให้ถอดผ้าเหลืองไปสึก แล้วสมัครทหารมาต่อกรกัน ด้าน “บิ๊กเล็ก” เชื่อเหตุการณ์ 17 ก.ย. ที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว มีการวางแผนก่อความวุ่นวาย รอง ผบ.ตร.ประชุมร่วมตำรวจทหารรับมือม็อบกัมพูชา ยืนยันใครล้ำแดนมาจับกุมดำเนินคดีหมด ระดมตำรวจ 7 กองร้อยตรึงกำลังคุมชายแดน พร้อมจัดรถ “จีโน่” รอคำสั่งสลายม็อบ ขณะที่รถกู้ภัย รถพยาบาลรวมพลตรึงชายแดน เตรียมพร้อมรับผู้บาดเจ็บหากมีเหตุปะทะ แก๊งวัยรุ่นกัมพูชาผมทรง “นกคุ้มหลี” แว้น จยย.กว่า 100 คัน มาสมทบมวลชนกัมพูชา บริเวณฝั่งตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว สังเกตการณ์ฝั่งไทยชาวกัมพูชายังระดมพลมาชุมนุมก่อความวุ่นวายปั่นป่วนที่ชายแดนกัมพูชา ตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว อีกรอบเมื่อวันที่ 18 ก.ย. หลังจากเมื่อวันที่ 17 ก.ย. มีชาวบ้านและพระสงฆ์ชาวกัมพูชาบุกข้ามเขตอธิปไตยไทยเข้ามารื้อรั้ว ขว้างก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่ไทย ที่ตรึงกำลังรักษาความสงบ ส่งผลให้สถานการณ์บริเวณดังกล่าวอยู่ในภาวะตึงเครียด กลุ่มผู้ชุมนุมพยายามยั่วยุด่าทอฝ่ายไทยเพื่อให้เกิดความรุนแรง ใช้ท่อนไม้เป็นอาวุธเข้าทำร้ายตำรวจกับทหารไทย ส่งผลให้ตำรวจควบคุมฝูงชนสระแก้ว ที่ตรึงกำลังอยู่หน้าแนว ต้องกำราบความเหิมเกริมและสลายการชุมนุมด้วยการใช้แก๊สน้ำตาพร้อมยิงกระสุนยางใส่เพื่อหยุดยั้งการบุกรุกกัมพูชาซ่อนตัวในป่าใกล้แนวป้องกันกระทั่งช่วงค่ำวันที่ 17 ก.ย.สถานการณ์โดยรวมเริ่มสงบลง แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงไม่ประมาทและคงกำลังพลดูแลพื้นที่อย่างเข้มงวดทั้งทหาร ตำรวจ รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายหน่วย ยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ตลอดแนวชายแดนรักษาความสงบเรียบร้อยและเจ้าหน้าที่ยังพบชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าโยคาใกล้แนวป้องกัน ทำให้ต้องเพิ่มความเข้มงวดการลาดตระเวนและสังเกตการณ์ ขณะเดียวกันตำรวจควบคุมฝูงชนบางส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งวัน ได้ทยอยสับเปลี่ยนกำลัง สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่บาดเจ็บจากเหตุปะทะจำนวน 4 นาย ได้รับการดูแลรักษาและปฐมพยาบาลโดยหน่วยแพทย์สนามทั้งหมดปลอดภัยพบทหาร–กำนันลีระดมชาวกัมพูชา ขณะที่ทีมข่าวไทยรัฐจังหวัดสระแก้ว รายงานว่า ช่วงเช้าวันที่ 18 ก.ย.เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยตรวจพบความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ มีกลุ่มทหารกัมพูชาพร้อมด้วยกำนันลี หรือนายโต สริน บุคคลสำคัญในพื้นที่กัมพูชา เกณฑ์ชาวบ้านหลายหมู่บ้านใกล้ชายแดน เข้ามาในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว คาดว่ามีวัตถุประสงค์เตรียมเข้ารื้อถอนรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย ที่ติดตั้งเสริมความมั่นคงตลอดแนวชายแดน ขณะเดียวกันฝ่ายความมั่นคงไทยได้ส่งโดรน บินตรวจการณ์เหนือพื้นที่ พบฝั่งกัมพูชามีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ชาวบ้านเริ่มรวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้นและมีสัญญาณว่า มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่การรวมตัวตามธรรมชาติของชาวบ้านทั่วไปทหารปลอมเป็นพระมาชุมนุมผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ที่น่ากังวลไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่ไทยสามารถยืนยันได้ว่ามีทหารสายลับของกัมพูชาปลอมตัวเป็นพระสงฆ์ปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ใช้ผ้าเหลืองบังหน้าเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย ถือเป็นยุทธวิธีในการแทรกซึมสอดแนมการทำงานของฝ่ายไทย ทั้งยังเสี่ยงต่อการสร้างสถานการณ์บิดเบือนหากเกิดการเผชิญหน้ากองกำลังบูรพาและหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ ได้รายงานสถานการณ์ต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูง พร้อมเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้น เจ้าหน้าที่ทหาร ตชด.และชุดควบคุมฝูงชนยังคงตรึงกำลังตลอดแนวชายแดนป้องกันการรุกล้ำพื้นที่เชื่อมีคนบงการจัดม็อบป่วนไทยด้านแหล่งข่าวฝ่ายไทยเปิดเผยว่า พฤติกรรมของฝั่งกัมพูชาระยะนี้สะท้อนให้เห็นถึงการจัดตั้งที่มี “ผู้ชี้นำเบื้องหลัง” คอยปลุกระดมและผลักดันชาวบ้านให้เข้ามาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารื้อรั้วลวดหนามหรือการปะทะกับเจ้าหน้าที่ไทย ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงยืนยันการปฏิบัติในกรอบสากลไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง ยกเว้นในกรณีที่ถูกบุกรุกหรือคุกคามความมั่นคงโดยตรง ทั้งนี้ ประชาชนทั้งในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงต่างจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเชื่อกันว่าสาเหตุหลักของความขัดแย้งครั้งนี้มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากชาวบ้านกัมพูชาไม่น่าจะเข้ามาก่อเหตุหากไม่ได้รับการจ้างวานระดม คฝ. 6 หมวดตรึงชายแดนผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากเหตุการณ์ความตึงเครียดที่บ้านหนองหญ้าแก้วเมื่อวันที่ 17 ก.ย. ทำให้ตำรวจภูธร จ.สระแก้ว ประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนเพิ่มจาก จ.ปราจีนบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา อีก 6 หมวด พร้อมอุปกรณ์โล่ป้องกันตัวมาเสริมกำลังควบคุมสถานการณ์ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ให้อยู่ในความสงบสามารถวางแนวลวดหนามได้ตามนโยบาย ไม่ให้ชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทยได้ นอกจากนี้ ผบช.ภ.2 ยังสั่งเตรียมพร้อมชุดควบคุมฝูงชน ทั้งจาก จ.ชลบุรีและระยองเข้ามาเสริมอีก เพื่อสับเปลี่ยนกำลังพลไม่ให้กำลังพลปฏิบัติงานเหนื่อยล้าจนเกินไปวอร์มรถ “จีโน่” รอคำสั่งสลายชุมนุมด้าน พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผู้บังคับการกองกำกับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (ผบก.อคฝ.) ให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อสั่งการให้กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เตรียมความพร้อมสนับสนุนภารกิจที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้วดังกล่าว โดยจัดรถน้ำ “จีโน่” ที่เป็นรถบรรทุกน้ำสีฟ้า บรรจุน้ำได้ 12,000 ลิตร มีกระบอกฉีดน้ำบนหลังคารถ ใช้ในการสลายการชุมนุม ทั้งหมด 10 คันโดยรถควบคุมฝูงชนรุ่นดังกล่าวยังติดตั้งเครื่องเสียงความถี่สูงใช้ควบคุมฝูงชน LRAD สำหรับใช้ปราบจลาจลอีกด้วยแก๊ง “นกคุ้มหลี” แว้น จยย.มาชุมนุมกระทั่งช่วงเวลาประมาณ 14.15 น. วันที่ 18 ก.ย. เจ้าหน้าที่พบมวลชนชาวกัมพูชารวมทั้งแก๊งวัยรุ่นผมทรง “นกคุ้มหลี” จำนวนมากพากันขี่รถ จยย.ประมาณ 100 คัน ทยอยเดินทางมารวมตัวกันที่ตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยกลุ่มชาวกัมพูชามารวมตัวปักหลักห่างจากแนวปะทะเดิมเพียง 50 เมตร หยั่งเชิงฝ่ายไทย แม้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาจะเข้ามาควบคุมสถานการณ์บ้าง แต่มีกลุ่มบุคคลบางส่วนเคลื่อนไหวและจับตาการทำงานของฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่องรถกู้ภัย–รถพยาบาลตรึงพื้นที่ขณะที่บรรยากาศในพื้นที่มีความตึงเครียด โดยเฉพาะแนวชายแดน ด้านทิศตะวันออกของบ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งเป็นจุดที่เกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับมวลชนกัมพูชาเมื่อวันที่ 17 ก.ย. และในเวลา 15.20 น. มีรถพยาบาลและรถกู้ภัยจากหลายมูลนิธิรวมหลายสิบคัน เคลื่อนกำลังมาประจำการที่บริเวณด้านหน้าแนวปะทะ บ้านหนองหญ้าแก้ว มีการจัดเตรียมอุปกรณ์การแพทย์และเจ้าหน้าที่พร้อมสแตนด์บายตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งมีแผนการลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากพื้นที่ปะทะ เพื่อนำส่ง รพ.โคกสูงและ รพ.ตาพระยาทหาร–ตร.ประชุมรับมือล้ำมาจับหมดเวลา 14.40 น. พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. เดินทางมาร่วมประชุม ณ ที่ว่าการอำเภอโคกสูง โดยมี พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ กองกำลังบูรพา นายปริญญา โพธิสัตย์ ผวจ.สระแก้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ใช้เวลาหารือกว่า 2 ชั่วโมง หลังการประชุม พล.ต.อ.ไกรบุญ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้ลงพื้นที่แทน พร้อมส่งความห่วงใยถึงข้าราชการตำรวจทุกนาย โดยเฉพาะจากเหตุปะทะเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ทำให้ตำรวจ คฝ.บาดเจ็บ 4 นาย และได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ จากนี้จะปรับแผนและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น หากมีการบุกรุกหรือรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยจะจับกุมดำเนินคดีทันที ที่ผ่านมาเราใช้ พ.ร.บ.ป่าไม้เป็นหลักซึ่งไม่เข้มข้นพอ วันนี้ต้องปรับให้ชัดเจน แต่ยังยึดหลักไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ทุกอย่างจะทำตามมาตรฐานสากล หากสามารถพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ก่อเหตุจนทำให้ตำรวจบาดเจ็บจะดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ และประสานอัยการสูงสุดตามขั้นตอนและไม่สนว่าจะเป็นพระหรือใคร ถ้ารุกล้ำเข้ามาจับหมดทบ.แจงไทม์ไลน์กัมพูชาป่วนวันเดียวกัน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก สรุปเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ว่า เวลา 14.10 น. ของวันดังกล่าว คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (ไอโอที) ไทยและกัมพูชา ลงพื้นที่พูดคุย ณ แนวลวดหนามป้องกันตนเอง บ้านหนองหญ้าแก้ว จากนั้นคณะไอโอทีฝ่ายไทยเดินทางกลับ ต่อมาเวลา 16.06 น. กัมพูชานำประชาชนมากดดันบริเวณแนวลวดหนาม แล้วเริ่มเปิดฉากรื้อแนวลวดหนาม เวลา 16.23 น. ฝ่ายไทยนำชุดควบคุมฝูงชนควบคุมสถานการณ์ปฏิบัติตามกฎควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักเริ่มจากการแจ้งเตือน ใช้ แก๊สน้ำตา และกระสุนยางระดมขว้างไม้ก้อนหินใส่ จนท.ไทยรองโฆษกกองทัพบกไล่ไทม์ไลน์เหตุการณ์ต่อว่า ประชาชนกัมพูชาขว้างไม้ ก้อนหิน หนังสติ๊ก กระทำต่อฝ่ายไทยชุดควบคุมฝูงชนใช้รถ LRAD แก๊สน้ำตา กระสุนยาง สลายการชุมนุมจนชาวกัมพูชาถอยจากแนวปะทะ เนื่องจากแก๊สน้ำตา เวลา 16.45 น. ฝ่ายไทยวางแนวลวดหนามเสริมความมั่นคงด้วยยางรถยนต์ ขณะที่ชาวกัมพูชาที่ปักหลักในพื้นที่ตะโกนต่อว่าเจ้าหน้าที่ไทย เวลา 17.00 น. สถานการณ์ยังไม่สงบ กัมพูชายังปลุกระดมต่อต้านเจ้าหน้าที่ไทย ที่ประกาศให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาดูแลประชาชนตนเอง ให้อยู่ในความสงบและใช้เครื่องส่งคลื่นสัญญาณเสียงสลายการชุมนุมชาวกัมพูชา กระทั่งเวลา 18.30 น. ประชาชนกัมพูชาถอนตัวจากแนวปะทะ เหตุการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ไทยยังคงเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่ยังมีมวลชนบางส่วนปักหลักดูเหตุการณ์ในพื้นที่ประณามกัมพูชาใช้เด็ก–พระเป็นโล่อีกด้าน ที่กองทัพภาคที่ 1 พล.ต.สุรวิชญ์ แดงจันทร์ โฆษกกองทัพภาคที่ 1 แถลงเหตุการณ์ชาวกัมพูชาบุกรื้อรั้วลวดหนามที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว และทำร้ายเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนว่า แสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีความจริงใจหรือไม่ในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง เพราะมีการยั่วยุ ระดมมวลชนเด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องที่อารยประเทศปฏิบัติต่อกัน ขอประณามผู้นำกัมพูชาที่ปล่อยให้เกิดเรื่องดังกล่าวในพื้นที่อธิปไตยไทย ใช้เด็กผู้หญิง พระสงฆ์ยั่วยุสร้างภาพว่าไทยทำร้าย ขออย่ามายั่วยุอีก เลิกยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงได้แล้ว ฝากถึงพระสงฆ์กัมพูชา หากจะแสดงเช่นนี้ให้ไปสึกแล้วไปสมัครเป็นทหารมาปฏิบัติต่อกัน ยืนยันเราไม่หวั่นไหวไม่หลงกล รู้ว่าจะใช้วิธีนี้จึงเตรียมกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนไว้ ทั้งหมดนี้คือละครกัมพูชาสร้างละครไม่จบไม่สิ้น ฝากถามความจริงใจผู้นำกัมพูชาในการปฏิบัติตามข้อตกลง อย่าเป็นแค่กระดาษหรือคำเขียน ต้องนำมาสู่การปฏิบัติ สิ่งที่ผู้นำกัมพูชาระบุว่ามีการทำร้ายคนกัมพูชาในพื้นที่กัมพูชานั้น เป็นเรื่องบิดเบือนหากละเมิดแดนจับดำเนินคดีทันทีโฆษกกองทัพภาคที่ 1 กล่าวอีกว่า การปฏิบัติของกองทัพภาคที่ 1 มีอารยะ ขั้นตอน ทหารกัมพูชานอกจากไม่ห้ามปรามประชาชนตัวเอง แต่ผสมโรงช่วยรื้อรั้วลวดหนาม คนกัมพูชาวัยฉกรรจ์ 100-200 คนใช้ไม้ ใช้หนังสติ๊กรุนแรงกว่ากระสุนยางทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทย เราต้องป้องกันตนเอง เตรียมกำลังควบคุมฝูงชน 2 กองร้อย พร้อมทหารพราน ตำรวจหญิง ตรึงกำลังผลักดันตามขั้นตอนที่สมควรแก่เหตุ แต่กัมพูชาบิดเบือนว่าถูกเจ้าหน้าที่ไทยทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ขอถามว่าแก๊สน้ำตาบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไรและขอตำหนิคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวฝ่ายกัมพูชา ที่ลงพื้นที่ช่วงค่ำหลังเกิดเหตุให้ปฏิบัติตามข้อตกลง ไม่มีสิทธิ์เดินมาบริเวณแนวรั้วลวดหนามที่เป็นอธิปไตยไทย ให้กองทัพภาค 1 ทำหนังสือประท้วงให้ยึดถือหลักเกณฑ์และกติกา ขั้นตอนหลังจากนี้จะยกระดับความเข้มข้น ตำรวจภูธรภาค 2 ส่งกำลังควบคุมฝูงชนสมทบในพื้นที่ 5 กองร้อย ของเดิม 2 กองร้อย รวมเป็น 7 กองร้อย หากละเมิดอีกจับกุมได้ทันที พร้อมขนขึ้นรถผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายไทยที่กำหนดว่าเข้าข่ายใดลั่นต้องจัดการเด็ดขาดไม่ให้ยืดเยื้อพล.ต.สุรวิชญ์กล่าวต่อว่า กองทัพภาคที่ 1 เตรียมประชุมคณะกรรมการส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) ไทย-กัมพูชา วันที่ 24-25 ก.ย. ที่กัมพูชา หารือแผนเก็บกู้ทุ่นระเบิด แผนปฏิบัติอาชญากรรมข้ามชาติ การจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน การจัดชุดประสานงานระหว่างพื้นที่ รวมไปถึงจะมีการจัดตั้ง TBC ในระดับจังหวัด เพื่อทำงานในพื้นที่ ขอให้สถานการณ์เหมาะสม ต่อการเจรจา ขอความจริงใจที่จะพูดคุย อย่าให้สนามการค้าเปลี่ยนเป็นสนามรบ ทั้งนี้ จ.สระแก้ว มีพื้นที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ 8 พื้นที่ แต่พื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว กัมพูชารุกล้ำเกินพื้นที่อ้างสิทธิ์ ต้องจัดการไม่ให้ยืดเยื้อเด็ดขาดรอ สมช.เคาะสร้างรั้วชายแดนที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการสร้างรั้วชายแดน จ.สระแก้วว่า ขณะนี้มีความเห็น 2 ด้าน ฝ่ายที่อยากให้สร้างต้องการป้องกันอาชญากรรม ฝ่ายไม่เห็นด้วยบอกว่าเราจะเสียสภาพ ต้องหารือในรายละเอียดอีกครั้งและขอความเห็นใจ พอเราทำอะไรลงไปอีกฝ่ายจะประท้วง ต้องทำในสิ่งที่ 2 ฝ่ายตกลงร่วมกันได้ นำไปพิจารณาในสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก่อน เพราะเกี่ยวกับอธิปไตย หลัง ครม.ชุดใหม่รับตำแหน่งเป็นทางการจะประชุม สมช.มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ผ่านมาเราไม่ได้นั่งเฉยๆ พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีตลอด แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถทำอะไรได้เป็นทางการ ต้องรอ ครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเร่งถกอาร์บีซีเคลียร์ชายแดนสระแก้วส่วนเหตุปะทะที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว รมช.กลาโหมกล่าวว่า แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ระดับที่ตนรับผิดชอบ คือการเจรจา เริ่มจากจีบีซี ข้อ 4 ระบุว่า ให้บริหารจัดการพื้นที่ ผู้ว่าฯ 2 ฝ่ายคุยกัน เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ผวจ.สระแก้วคุยกับผู้ว่าฯบันเตียเมียนเจย ยังไม่มีผลคืบหน้า เมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ 17 ก.ย. ได้โทร.ไปคุยกับแม่ทัพภาคที่ 1 ให้เร่งประชุม RBC ถ้าไม่ได้ความชัดเจน คราวหน้าจะไปทวงในการประชุมจีบีซีอีกครั้ง ยืนยันว่าเราตกลงกันแล้ว กับ พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ว่าในพื้นที่ฝ่ายไทยจะดำเนินการตามกฎหมายไทย เมื่อถามว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะทำให้มีปัญหาดังกล่าวอีกหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลตอบว่า ถ้าเกิดก็ต้องเกิด เพราะมันเขตประเทศไทย เราใช้กฎหมายไทยชี้เหตุการณ์ 17 ก.ย.มีการวางแผนพล.อ.ณัฐพลกล่าวอีกว่า เหตุการณ์วันที่ 17 ก.ย. เป็นการวางแผนไว้ของฝ่ายกัมพูชา พอทำแล้ววันรุ่งขึ้นมีหนังสือไปถึงประเทศต่างๆเป็นการกระทำที่สอดรับกันมาก ขณะที่เราประท้วงกัมพูชามาวางกับระเบิดในพื้นที่ทัพภาค 2 กัมพูชากลับประท้วงไทยวางรั้วลวดหนาม ปัจจุบันกระทรวงกลาโหมประสานกระทรวงการต่างประเทศให้ทำหนังสือประท้วงไปเช่นกัน ได้คุยส่วนตัวกับ ผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 1 ขอให้ดำเนินการตามกรอบที่มีอยู่ มีกฎการใช้กำลังอยู่ แม้รัฐบาลยังไม่สามารถดำเนินงานได้ตามกฎหมาย แต่กฎการใช้กำลังกระทรวงกลาโหมมีอยู่ มอบอำนาจให้ ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. แม่ทัพภาค ผบ.กองกำลังมีอำนาจ การกระทำใดล่วงล้ำอธิปไตยสามารถตัดสินใจได้ทันทีมอบกองทัพแก้เหตุป่วนชายแดนที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ว่า ขอให้ฝ่ายทหารดำเนินการและชี้แจง พื้นที่ดังกล่าวประกาศกฎอัยการศึก อำนาจตัดสินใจอยู่ที่ฝ่ายทหาร ขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปบริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ แต่ให้คำมั่นสัญญาว่า หากเข้าไปบริหารงาน เรื่องความมั่นคง รัฐบาลจะรับฟังผู้ปฏิบัติหน้าที่ในชายแดนโดยตรง เรื่องการเปิดด่านชายแดน อย่าไปคาดเดา ขณะนี้ไม่มีการดำเนินการ เมื่อถามว่า นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินหน้าฟ้องผู้นำโลกแล้ว นายอนุทินตอบว่า ผู้นำทุกประเทศต้องรักษาผลประโยชน์ประเทศ เช่นเดียวกับผู้นำไทยต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ไทย รักษาความผาสุก ความมั่นคง อธิปไตยและความปลอดภัยประชาชนจะยึดกรอบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง“ฮุน มาเนต” ตวัดลิ้นกล่าวหาไทยก่อนหน้านี้มีรายงานว่านายฮุน มาเนต นายก รัฐมนตรีกัมพูชา ส่งหนังสือร้องไทยไปยังนาย อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.มีสาระสำคัญระบุว่า ได้ส่งหนังสือถึงนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ต่อเหตุชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมเสริมว่าฝ่ายไทยยังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ตกลงกันเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2025 ที่เขตปกครองพิเศษปุตราจายาของมาเลเซีย ขณะที่ทหารไทยได้สร้างเครื่องกีดขวาง ตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค. ขับไล่ชาวกัมพูชาหลายสิบครอบครัว ออกจากพื้นที่ที่อยู่อาศัยดั้งเดิมในจังหวัดบันทายมีชัยและยังขู่ว่าจะขับไล่เพิ่มเติม ผู้นำกัมพูชายังระบุด้วยว่า มีรายงานจากแหล่ง ข่าวที่เชื่อถือได้ว่าทหารไทยมีแผนใช้กำลังยึดพื้นที่อีก 17 จุดในจังหวัดทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชา การกระทำของทหารไทยไม่เพียงแต่ละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา ขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศ ยังละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง เสี่ยงสร้างการปะทะรุนแรงขึ้นอีก ขณะที่กัมพูชามุ่งมั่นแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติและพร้อมทำงานกับไทยกับอาเซียนเพื่อรักษาเสถียรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่