เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว” ตัวเลขของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นสัญญาณที่ชัดเจน แต่สิ่งที่มาพร้อมกันและส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของคนจำนวนมากคือจำนวน “ผู้มีภาวะพึ่งพิง” หรือ “ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง” ที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดประเด็นสำคัญมีว่า... “ผู้มีภาวะพึ่งพิง” เหล่านี้นับวันจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะในชุมชนต่างจังหวัดที่ขาดแคลนทั้งบุคลากรและทรัพยากรปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ “ภาระการดูแล” ที่ตกอยู่กับ “คนในครอบครัว” ข้อมูลจากกรมกิจการผู้สูงอายุระบุว่า ในปี 2566 ไทยมีผู้สูงอายุราว 13 ล้านคน และในจำนวนนี้มีผู้มีภาวะพึ่งพิงกว่า 3 แสนคน“การต้องดูแลผู้ป่วยตลอดเวลา ทำให้สมาชิกในครอบครัวหลายคนต้องออกจากงานประจำเพื่อมาทำหน้าที่นี้ ส่งผลให้ขาดรายได้และอาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจ...ความตึงเครียดภายในครอบครัวในที่สุด”ชัดเจนว่าการเพิ่มขึ้นของผู้มีภาวะพึ่งพิง ไม่ได้ส่งผลแค่ความเปลี่ยนแปลงในเชิงตัวเลข แต่นั่นหมายถึงความต้องการการดูแลจากรัฐ และโดยเฉพาะจาก “คนในครอบครัว” ที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน รศ.ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ประเทศไทย บอกว่า ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงเป็นกลุ่มคนที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะไม่สามารถดูแลตนเองได้ โดยบางครอบครัวต้องให้สมาชิกในครอบครัวลาออกจากงานเพื่อมาดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งทำให้ขาดรายได้และ...นำไปสู่ปัญหาภายในครอบครัวในที่สุดแต่ถ้ามี “ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง (Caregiver)” มาคอยดูแลให้ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับคนในครอบครัวที่มีผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง หรือผู้มีภาวะพึ่งพิงได้อย่างมาก เนื่องจากบทบาทของผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง จะมีตั้งแต่การให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือในด้านต่างๆทั้งกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการช่วยเหลือเรื่องการดูแลสุขภาพ เช่น สังเกตอาการทางสุขภาพ จัดการสภาพแวดล้อม ฯลฯ พร้อมทั้งประสานงานกับบุคลากรทางการแพทย์และญาติ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงตามแผนการดูแลรายบุคคลดร.วิระศักดิ์มองว่าเป็นเรื่องดีที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำข้อเสนอของบประมาณภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมาสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้จ้างงานผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงภายใต้โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ได้อีกทั้งไม่ใช่แค่ “การจ้าง” ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงแค่ปีเดียวจบ แต่ สปสช.จะมีการสนับสนุนงบประมาณให้เกิดการจ้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อความยั่งยืนของการดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงด้วย สำหรับโครงการนี้ สปสช.ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลมาจำนวน 1,115 ล้านบาท เพื่อให้ร่วมกับ อปท. ได้แก่ อบต. เทศบาล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ในการจ้างงานผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 18,587 คน เพื่อดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน 106,807 ราย (ทั้งที่เป็นผู้สูงอายุและช่วงวัยอื่น)โดยมีค่าตอบแทนให้ในอัตรา 5,000–6,000 บาทต่อเดือนจึงเป็นหน้าที่ของทางท้องถิ่นในการจัดให้มีการดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง เพราะมีความใกล้ชิดกับพื้นที่ รู้ถึงสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละคน และการมีงบประมาณมาสนับสนุนให้เป็นค่าตอบแทน 5,000-6,000 บาทต่อเดือนภายใต้โครงการนี้ก็จะเป็นอีกส่วนที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจ และขวัญกำลังใจในการทำหน้าที่นี้ดร.วิระศักดิ์ ย้ำว่า ในส่วนคุณสมบัติในการจ้างผู้ช่วยดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงหลัก สปสช.กำหนดไว้มีอยู่ 3 ข้อหลักๆด้วยกัน คือ 1.ผู้ที่จะเข้าร่วมเป็นผู้ช่วยผู้ดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงต้องเป็นคนในพื้นที่นั้นๆ2.จะต้องไม่ใช่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือผู้มีเงินเดือนประจำจากรัฐและ 3.ต้องไม่เป็นบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและได้รับค่าตอบแทนหรือค่าป่วยการจากรัฐเป็นประจำอยู่เดิม เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อไม่ให้ได้รับค่าตอบแทนซ้ำซ้อนกัน“อสม.เดิมเองถ้าต้องการจะเข้าร่วมโครงการนี้ก็สามารถออกจากการเป็น อสม. แล้วมาทำในโครงการนี้แทนได้เช่นกัน อย่างปัจจุบัน อสม.สำรอง (บัญชี 2) ก็มีเป็นร้อยคน หรือ อสม.ที่มีความตั้งใจจะทำหน้าที่ตรงนี้ (ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง) ซึ่งอย่าลืมว่าเขาเหล่านี้เดิมเรื่องเงินหรือรายได้อะไรก็ไม่ได้มี...” แต่ถ้ามาร่วมโครงการก็จะมีค่าตอบแทนที่เขาจะสามารถนำไปเลี้ยงดูครอบครัวได้อยากสื่อสารส่งผ่านไปถึงผู้บริหาร อปท.ทั่วประเทศ ให้เชิญชวนผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะคนที่มีจิตอาสา และมีเวลา ให้เตรียมตัวที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยทำการอบรมหลักสูตรดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หรือหลักสูตรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรอได้เลย“อยากให้มีการมาร่วมกันเยอะๆ เพื่อให้มีผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในการดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ และการจ้างเป็นการทำต่อเนื่องระยะยาว ซึ่งก็จะทำให้ผู้ที่มารับบทบาทตรงนี้มีค่าตอบแทนไปใช้จุนเจือครอบครัว ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ดร.วิระศักดิ์ว่า พี่น้องผู้บริหารท้องถิ่นที่อาจจะกังวลว่าจะเป็นการให้ “ค่าตอบแทนซ้ำซ้อน” ซึ่งอาจจะรู้อยู่แล้วว่า อสม.คนไหนมีศักยภาพตรงนี้ หรือมีความตั้งใจก็แนะนำให้เขาออกจากการเป็น อสม.พร้อมกับไปอบรมหลักสูตร Caregiver แล้วมาร่วมโครงการนี้แทน เพื่อรับค่าตอบแทนที่เป็นเสมือนอีกหนึ่งการสร้างขวัญกำลังใจรศ.ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการจ้างงานผู้ช่วยเหลือดูแล “ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง” ภายใต้โครงการ 30 บาท รักษาทุกที่ เป็นมากกว่าแค่การดูแลผู้ป่วย แต่...สร้างโอกาส สร้างรายได้ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับทั้ง “ผู้ป่วย” และ “คนในชุมชน” อย่างแท้จริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม