แบงก์ชาติจับมือผู้แทนจากสมาคมธนาคารไทยแจงการระงับธุรกรรมบัญชีม้า ยืนยันไม่ได้อายัดทั้งบัญชี แต่ระงับเฉพาะวงเงินต้องสงสัย พร้อมปรับระบบปลดล็อกสำหรับสุจริตชนเร็วขึ้น จาก 3 วัน เหลือเพียง 4 ชั่วโมง อย่างช้าไม่เกิน 1 วัน หลังมีผลกระทบต่อผู้ใช้บริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงเพิ่มขึ้น ชี้ที่ผ่านมาร้องเรียนสายด่วน 1141 แค่ 100 กว่าคน ปลดล็อกได้ร้อยละ 10 ที่เหลือเป็นบัญชีม้า ขณะที่กรมพัฒน์เผยจากการรวบรวมข้อมูลศูนย์ AOC กว่า 9.4 หมื่นราย ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงิน ผลตรวจสอบพบ 1,415 นิติบุคคลที่มีความเชื่อมโยงน่าสงสัยมีพฤติกรรมเข้าข่ายฟอกเงินจากปัญหาธนาคารอายัดบัญชีเงินฝากของประชาชน โดยสงสัยอาจเกี่ยวโยงกับ “บัญชีม้า” ที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้ในการถ่ายโอนและฟอกเงิน แต่กลับกลายเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ร้านค้า ผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่สามารถเบิกถอนหรือทำธุรกรรมทางการเงินใดๆได้ โดยล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ก.ย.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมด้วย น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง นำผู้เสียหายถูกอายัดบัญชีธนาคาร จำนวน 2 ราย หลังได้รับโอนเงินจากลูกค้า 1 แสนบาท โดยหนึ่งในสอง เป็นผู้ประกอบอาชีพธุรกิจร้านเสริมสวย ถูกอายัดบัญชีมานาน 7 เดือน เนื่องจากมีเส้นเงินเกี่ยวโยงกับบัญชีม้า ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงหรือหลอกลวง ทำให้เกิดความเสียหายต่อการทำธุรกรรมทางการเงิน มายื่นหนังสือถึง ผบ.ตร.เรื่องขอให้ทบทวนมาตรการอายัดบัญชีและจัดการบัญชีม้า โดยสนับสนุนการอายัดในส่วนที่เป็นเฉพาะยอดเงินโอนของบัญชีต้องสงสัยเป็นบัญชีม้าเท่านั้น เพื่อแยกบัญชีของผู้บริสุทธิ์ที่ทำงานโดยซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้รับผลกระทบ และขอให้มีความละเอียดมากขึ้น หรืออาจจะมีการกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการเริ่มต้นอายัดต่อมาช่วงบ่าย น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น.ส.อรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ธปท. และนายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้แทนจากสมาคมธนาคารไทย ร่วมกันชี้แจงกรณีการระงับธุรกรรมในเส้นทางเงินเพื่อจำกัดความเสียหายจากบัญชีม้า โดยระบุว่า มาตรการอายัดเงินเป็นมาตรการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำเพื่อลดความเสียหายของประชาชนที่ถูกหลอกจากมิจฉาชีพ เพื่อล็อกเงินที่ถูกโอนจากบัญชีม้าได้เร็วที่สุดก่อนที่เงินจะหายไป เพราะตามสถิติที่ผ่านมา เมื่อคนโดนหลอกลวงให้โอนเงินจากมิจฉาชีพกว่าจะรู้ตัวว่าโดนหลอกและทำเรื่องแจ้งความ แจ้งธนาคารเฉลี่ยอยู่ที่ 20 ชั่วโมง และการระงับธุรกรรมนั้น เป็นการดูตามเส้นเงินที่โอนเข้ามา โดยหากพบว่ามีบัญชีที่ต้องสงสัยโอนเงินเข้ามา จะระงับเฉพาะวงเงินนั้น โดยระงับได้สูงสุดเป็นเวลา 3 วัน หากเป็นบัญชีที่ไม่ได้ถูกแจ้งความจากตำรวจ แต่หากมีการแจ้งความจะระงับเพิ่มเป็น 7 วัน เพื่อให้ตำรวจมีเวลาตรวจสอบว่าเป็นบัญชีม้าจริงหรือไม่ยกตัวอย่าง หากพบว่ามีเงินต้องสงสัยโอนเข้ามา 50,000 บาท จะระงับการทำธุรกรรมเฉพาะเงิน 50,000 บาทนั้น แต่เงินที่เหลือในบัญชี เช่น อาจจะมีเงินอีก 100,000 บาทในบัญชี เจ้าของบัญชียังใช้ทำธุรกรรมการเงินได้ตามปกติ ขอย้ำว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นการระงับการทำธุรกรรมเฉพาะวงเงินที่ต้องสงสัย ไม่ใช่การอายัดบัญชีทั้งบัญชีจนทำธุรกรรมไม่ได้ กรณีที่มีการอายัดบัญชีนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากหมายของทางตำรวจที่ส่งมาให้ทางธนาคารอายัดบัญชี เพราะได้รับแจ้งความจากประชาชน กรณีนั้น ตำรวจจะต้องแจ้งมาธนาคารเพื่อขอปลดอายัดน.ส.ดารณีชี้แจงอีกว่า หากธนาคารมีการระงับบัญชี และทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนที่สุจริต ไม่ได้เป็นบัญชีม้า ประชาชนสามารถโทร.มาขอปลดการระงับวงเงินได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) โทร. 1441 กด 2 ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่มีเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานอยู่พร้อมกัน ทั้ง ธปท. ธนาคารพาณิชย์ ตำรวจ สำนักงานปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อที่จะร่วมกันพิจารณาเส้นเงินเพื่อเร่งดำเนินการปลดล็อกน.ส.ดารณีกล่าวว่า ที่ผ่านมาตามกฎหมายกำหนดว่าหากล็อกวงเงินไว้ 3 วัน เมื่อครบกำหนดหากตรวจสอบไม่ได้เป็นบัญชีม้าจะปลดล็อกให้ แต่เมื่อพบว่ามีผลกระทบกับประชาชนมากขึ้น จึงเร่งการปลดล็อกให้เร็วขึ้น โดยกำหนดเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่อพิจารณาแยกระหว่างบัญชีม้าและบัญชีผู้สุจริตที่ไปเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว เช่น บัญชีม้าโอนเงินมาซื้อสินค้า หากไม่ใช่วงเงินที่สูงมาก อาจจะพิจารณาปลดล็อกได้ หรือหากพิจารณาจากการทำธุรกรรม แม้เป็นบัญชีที่วงเงินการโอนสูง แต่หากเป็นการซื้อขายสินค้าตามปกติ มีหลายรายโอนเงินมาต่อเนื่องทุกวัน และมีการจ่ายเพื่อซื้อวัตถุดิบมาขาย ถือเป็นบัญชีปกติ สามารถปลดล็อกเร็วขึ้นได้ หลังจากนี้หากโทร.เข้ามาที่ 1441 กด 2 ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.เมื่อรับทราบข้อมูลทั้งหมดจะสามารถปลดล็อกได้อย่างเร็วที่สุดประมาณ 4 ชั่วโมง และช้าที่สุดไม่เกิน 1 วัน นอกจากนั้น ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะนำเกณฑ์ดังกล่าวไปใช้ปลดล็อกสำหรับบัญชีที่ถูกระงับวงเงิน แต่เจ้าของบัญชีไม่ได้แจ้งมาที่ 1441 ด้วยนายสุปรีชากล่าวเพิ่มเติมว่า จากการประชุมที่กระทรวงดีอีเอส เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา เราได้ตั้งเซ็นเตอร์ในการประสานข้อมูลของการปลดล็อกบัญชีที่ศูนย์ AOC (Anti Online Scam Operation Center ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ สายด่วน 1441) ที่ถูกระงับธุรกรรม มีคนโทร.มาร้องเรียนขอปลดล็อกเพียงประมาณ 100 กว่าราย และจากการตรวจสอบกับข้อมูลบัญชีม้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่าปลดล็อกได้จริงเพียง 11 ราย หรือประมาณร้อยละ 10 เท่านั้น นอกจากนั้น ยังพบว่ามีสายที่โทร.เข้าจำนวนหนึ่งโทร.มาแค่แจ้งว่าถูกอายัดบัญชี แต่ไม่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีบัญชีอยู่กับธนาคารใดด้านนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงการแก้ปัญาบัญชีม้าว่า กรมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อปราบปรามการใช้ “บัญชีม้า” และนิติบุคคลที่น่าสงสัยในการกระทำผิด ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมได้หารือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อหาแนวทางแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพนางอรมนกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กรมได้รับข้อมูลจากศูนย์ AOC ซึ่งรวมรายชื่อบุคคล 94,161 ราย ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงิน ตามบัญชี HR03 ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยกรมจะตรวจสอบว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะกรรมการผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหารของนิติบุคคลใดบ้าง จากการตรวจสอบพบว่ามีนิติบุคคล 1,415 ราย ที่มีความเชื่อมโยงน่าสงสัย และได้ถูกติดป้ายกำกับเพื่อติดตามพฤติกรรมต่อไป ข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วจะถูกส่งกลับไปยัง AOC เพื่อช่วยในการติดตามพฤติกรรมของนิติบุคคลเหล่านี้ และป้องกันการนำไปใช้หลอกลวงประชาชน นอกจากนี้ กรมยังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบใหม่ชื่อ “iBas” เพื่อจับผิด และติดตามพฤติกรรมของนิติบุคคลอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปลี่ยนแปลงกรรมการ ผู้ถือหุ้นหรือที่อยู่จดทะเบียน เหมือนเป็น Digital Footprintขณะเดียวกัน กรมได้เปิดเว็บไซต์ให้ประชาชนตรวจสอบที่อยู่จดทะเบียนของนิติบุคคล เพื่อป้องกันมิจฉาชีพแอบเอาที่อยู่ของคนอื่นไปจดทะเบียนเป็นที่อยู่ของนิติบุคคลเพื่อหลอกลวงประชาชน โดยมีผู้เข้าใช้บริการตรวจสอบแล้วประมาณ 20,000 ราย และกรมได้ตรวจสอบแล้วพบว่า มีนิติบุคคล 41 ราย ที่มีที่อยู่จดทะเบียนไม่ตรงตามจริงหรือเป็นเท็จ กรมได้บันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้และได้ดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับการจดทะเบียนที่ตั้งบริษัทแล้วด้วย กรมยังแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปราบปรามการใช้นิติบุคคล และบัญชีม้าฉ้อโกงประชาชนจากนั้นในช่วงเย็น นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยถึงการเร่งดำเนินการตรวจสอบบัญชีธนาคารของประชาชนที่ร้องเรียนว่าถูกระงับธุรกรรมชั่วคราวตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2568 โดยระบุว่า ระหว่างวันที่ 14-15 ก.ย.2568 มีสายโทร.เข้าศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือศูนย์ AOC 1441 ทั้งสิ้น 1,300 สาย เป็นสายที่แจ้งหลักฐานจำเป็น เช่น ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน บัญชีธนาคาร เพื่อให้มีการตรวจสอบทั้งสิ้น 300 สาย ในจำนวนดังกล่าวพบว่าเป็นประชาชนที่น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเส้นเงินของกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพียงร้อยละ 10 หรือประมาณ 30 ราย ที่เหลือ 270 ราย มีเส้นเงินที่ต้องสงสัยว่าเป็นบัญชีม้า จึงไม่สามารถปลดล็อกธุรกรรมให้ได้ สรุปว่าสายที่โทร.เข้าส่วนใหญ่เป็นสายป่วนและสายที่ไม่ยอมให้ข้อมูล และจากสายที่ให้ข้อมูลเพื่อการตรวจสอบ พบร้อยละ 90 พัวพันกับบัญชีม้า ซึ่งทาง AOC ไม่สามารถปลดล็อกธุรกรรมให้ได้นายวิศิษฏ์ยืนยันว่า การดำเนินงานของ AOC กรณีมีการโทร.เข้ามาร้องเรียนและให้ข้อมูลว่าถูกหลอกลวง จะมีการตรวจสอบเส้นทางเงินและระงับเฉพาะธุรกรรมนั้นๆ ไม่ใช่ระงับหรืออายัดบัญชีแบงก์แต่อย่างใด โดยปกติมีกำหนดระงับธุรกรรมดังกล่าวเป็นเวลา 7 วัน เป็นช่วงเวลาที่จะใช้ตรวจสอบเส้นทางเงินโดยละเอียด หากพบเป็นการกลั่นแกล้งหรือแจ้งความเท็จ จะปลดล็อกธุรกรรมดังกล่าวให้ แต่หากพบพฤติกรรมเป็นบัญชีม้า ธนาคารมีการตรวจสอบเส้นทางเงินได้โดยละเอียดอยู่แล้ว จะหยุดเงินก้อนดังกล่าวเอาไว้ เพื่อนำไปคืนผู้เสียหายต่อไป“ขณะนี้พบพฤติกรรมบัญชีม้าที่ใช้บัญชีดังกล่าวซื้อหาสินค้าและบริการด้วย โดยหวังให้มีคนบริสุทธิ์เดือดร้อนจากการถูกระงับธุรกรรม กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหารือว่าจะกำหนดแนวทางปฏิบัติงานอย่างไร ไม่ให้กระทบกับคนค้าขายที่รับโอนเงินที่ฉ้อโกงมาจากบัญชีม้าอีกทอด” ปลัดดีอีกล่าว และย้ำว่ากรณีที่บัญชีธนาคารถูกอายัด ไม่สามารถใช้งานได้นั้น ประเมินได้ว่าบัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีม้า ซึ่งถูกอายัดโดยตำรวจภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรืออาจถูกอายัดโดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)“ยืนยันว่า พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2568 ถูกปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ตรงจุดและทันท่วงทีมากขึ้น เราไม่สามารถปล่อยให้เงินที่ประชาชนถูกฉ้อโกง 30,000-40,000 ล้านบาทหายไปในพริบตา ปัญหาในขั้นตอนปฏิบัติที่เกิดขึ้น สามารถแก้ไขได้ คนที่ไม่ได้ทำผิดไม่จำเป็นต้องกลัว ตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ เราสามารถหยุดเส้นทางเงินและตามกลับคืนมาได้ในหลายพันล้านแล้ว ทำให้เชื่อได้ว่ามาตรการที่กำลังทำอยู่ได้ผล” ปลัดดีอีกล่าวสรุปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่