พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คำนิยาม“เสนียด” ว่า “จัญไร” หรือ“จังไร” ส่วนคำว่า“อุบาทว์” ให้คำนิยามว่า ชั่วร้ายเลวทราม (มหัศจรรย์เมืองไทยในอดีต เทพชู ทับทอง (สุวีรียาสาส์นพิมพ์ 2546)หนังสือกฎหมายตราสามดวง “ลักษณะเบ็ดเสร็จ” มีคำกล่าวถึงการกระทำอันเป็นเสนียดจัญไรหลายมาตรา114 มาตราหนึ่ง ชายให้อันมิควรแก่หญิงอันเป็นเมียท่าน 100000 ถ้าหญิงหาผัวมิได้ และชายให้อันมิควร ให้ไหม 80000 ถ้าหญิงให้อันมิดีแก่ชาย ไหม 120000 ถ้าหญิงเหมือนกันให้อันมิควรแก่กัน ให้ไหม 70000 แล115 มาตราหนึ่ง ลวงท่านให้กินอันมิดีอันโสโครก ผู้ใดเอาอาจมซัดเรือนท่าน ให้ไหม 170000 ว่ามาทั้งนี้ แต่นา 10 ไร่ขึ้นไป ถึงนา 100 หนึ่งถ้านา 200 เอา 2 คูณ ถ้านา 300 เอา 3 คูณ ถ้านา 400 เอา 4 คูณ กว่านั้นให้บวกขึ้นนาร้อยละ 40000 แล116 มาตราหนึ่ง ผู้ใดเอาอาจมซัดเรือนท่าน ให้ไหม 120000 ถ้าเอาอาจมซัดบ้านท่าน ไหม 110000 ถ้าเข้าบ้านท่านและถ่ายอุจจาระไว้ ให้ไหม 55000 ถ้าขุดหลุมถ่ายอุจจาระใกล้เสาห้องเรือนท่าน ให้ไหม 55500 ถ้าแลขุนแขวงหมื่นแขวงสิบร้อย อายัดว่ากล่าวแลมันมิฟัง จะไหมทีหนึ่งให้ไหมทวีแล้ว แลจะให้มันแบกอาจมเสียจงได้ภาษากฎหมายต้นรัตนโกสินทร์ หลายคำเข้าใจยาก เทพชู ทับทอง อธิบาย...ให้อันมิควร ให้อันมิดี หมายถึง ให้ของลับชาย และของลับหญิง ให้ไหม คือ ให้ปรับเป็นเงิน สมัยก่อนใช้เบี้ยเป็นเงินปลีก ให้ไหม 100000 คือ ให้ปรับเป็นเงิน 100000 เบี้ยค่าเงินเบี้ยสมัยพระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าปราสาททอง พ่อค้าฮอลันดาเปรียบเทียบว่า 800 เบี้ยเท่ากับ 1 เฟื้อง 8 เฟื้องเท่ากับ 4 สลึง หรือ 1 บาท สมัยนั้นราษฎรจ่ายตลาดพกเบี้ย 10-20 เบี้ย ก็ได้ค่าอาหารจำเป็นกินในวันหนึ่งดังนั้น อัตราปรับไหมที่กล่าวมา จึงนับว่าปรับแพงมากการลวงให้กินของโสโครก สมัยก่อนมี เพราะยังเชื่อไสยศาสตร์กันมากหนังสือกฎหมายตรา 3 ดวง “ลักษณะผัวเมีย” กล่าวว่า พ่อแม่ปู่ย่าญาติพี่น้องลูกหลานได้เสียกันว่า เป็นอุบาทว์จัญไร จึงมีการกำหนดลงโทษไว้ดังนี้มาตราหนึ่ง หลานทำชู้ด้วยเมียลุงตาปู่อาน้าพี่ตนเอง มันผู้มิกลัวเกรงมันมิอายแก่บาป ดังนั้น ให้เอามันคนร้ายจำไส่ตรวน ขื่อคา เอาน้ำหมึกสักหน้า ทั้งหญิงทั้งชาย เอาเชือกหนังผูกคอ เอาฆ้องตีตระเวนรอบตลาด แล้วเอาขึ้นขาหย่างยิงด้วยลูกสันโดด แล้วให้ตีด้วยลาดหนังคน 25-50 ที แลให้ทำแพ ลอยเสียนอกเมือง อย่าให้ดูเยี่ยงกันมาตราหนึ่ง พ่อแม่พี่น้องยายหลานลุงน้าหลานทำชู้กัน ให้ใช้ทำแพลอยผู้นั้นเสียในทะเล ให้เจ้าพ่อพ่อน้องพลีเมืองท่านทั้งสี่ประตูไก่แปดตัว ให้นิมนต์พระสงฆ์พราหมณาจารสวดมนตร์กำหนดพิธีการ ระงับการอุบาทว์จัญไรน้ำฟ้าน้ำฝนจึงจะตกเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลายฝ่ายพ่อแม่พี่น้องรู้ว่าหลานทำมิชอบ มิได้ว่ากล่าว ท่านว่า เลมิด ให้ลงโทษโดยโทษานุโทษถ้าผมไม่ได้อ่านกฎหมายลักษณะผัวเมีย...เรื่องจริงๆในสมัย ร.1 ผมคงนึกว่าการลงโทษด้วยการลอยแพ เป็นเพียงเรื่องเล่าในนิทานที่เคยอ่านเจอหลายๆเรื่องส่วนการลงโทษหวาดเสียวบาดใจ ...เอาขึ้นขาหยั่งยิงด้วยลูกสันโดษ (เดาว่าลูกกระสุนดิน) ตีด้วยลวดหนัง แล้วเอาเชือกผูกคอประจานรอบตลาดนั้น...คงใช้กันมานาน อย่างน้อยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตามเนื้อหากฎหมาย แสดงว่าคนโบราณเชื่อหนักแน่น การที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือบทจะตกก็ตกหนักแบบน้ำท่วมเมือง...เกิดจากความอุบาทว์จัญไรของผู้คนบ้านเมืองเราตอนนี้ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน เจอแต่เรื่องอุบาทว์จัญไร เคราะห์ดีสมัยนี้ไม่มีความเชื่อแบบโบราณ ไม่เช่นนั้น แทนการชุมนุมเรียกร้องให้ลาออกๆ อาจจะมีการเปลี่ยนให้เป็นการลอยแพกันบ้าง ไม่เชื่อ ลองทำดูสักครั้ง ผมว่านะ! คงสนุกอึกทึกกันไปทั้งโลก.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม