"ตามสัมผัสของตัวเอง... พระเจ้าแตงหวาน คือผู้คิดคดทรยศต่อเจ้านาย โค่นกษัตริย์ เอาตัวเองที่เป็นไพร่ขึ้นเป็นพระเจ้าแตงหวาน เหมือนที่เราเห็นในเขมร มีการโค่นพระเจ้าแผ่นดินและมีคนตั้งตนเป็นสมเด็จ นี่น่าจะเป็นพระเจ้าแตงหวาน 2"อรชร เอี่ยมสะอาด ชาวบ้าน จ.สุรินทร์ กล่าวกับ ทีมข่าว “SEE TRUE” ไทยรัฐทีวี 32อรชรคือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์การปะทะกันริมชายแดนไทย-กัมพูชา เธอกล่าวเปรียบเปรยพระเจ้าแตงหวานหรือที่รู้จักในพระนามพระบาทตรอซ็อกผแอม กษัตริย์ในตำนานของอาณาจักรพระนครเปรียบเทียบกับฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ว่า...หากดูจากประวัติ ฮุน เซน เปรียบเสมือนกับเป็นภาค 2 ของพระเจ้าแตงหวานเรื่องราวข้างต้นชาวบ้านในพื้นที่ริมชายแดนไทย-กัมพูชา เล่าขานตำนานบทนี้สืบต่อๆกันมา มีการนำเรื่องนี้ไปเชื่อมโยงกับตำนาน “คำสาปชัยวรมัน” ที่สาปแช่ง “พระเจ้าแตงหวาน” ตามตำนานมีการเล่าขานกันว่า ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 พระองค์ถือเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของสายพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 และถูกล้มอำนาจโดยชายชาวบ้านธรรมดาที่มีอาชีพปลูกแตง นามว่า “นายแตงหวาน” โดยชายผู้นี้ได้ก่อกบฏ โค่นราชวงศ์และสังหารพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 พร้อมตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของอาณาจักรขอมเล่ากันว่า “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1” พระองค์ทรงทำ “คำสาป” ไว้ในศิลาจารึกสลักว่า “ผู้ใดทรยศต่อเราและลูกหลานจะตกอยู่ในความพินาศตลอดไปถูกต่างชาติยึดครอง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่พัฒนา ไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า” นั่นทำให้ชาวบ้านพื้นที่ริมชายแดนหลายคน เชื่อกันว่าคำสาปนี้เป็นการสาปประเทศกัมพูชา เพราะเมื่อย้อนมองดูประวัติศาสตร์ของกัมพูชาและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศนี้ แทบจะไม่มีอะไรต่างจากคำสาปบทนี้ซึ่งหลายคนเชื่อว่า...คำสาปนี้ถูกสลักไว้ใน “ศิลาจารึก” ของ “ปราสาทตาเมือนธม”ทีมข่าว “SEE TRUE” ภารกิจให้คุณเห็นความจริง ลงพื้นที่ไปยังชุมชนติดปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ สัมผัสเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดในชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น ดังเช่น แอน เหขุนทด เธอเชื่อสนิทใจว่าศิลาจารึกคือคำสาปคนกัมพูชา เพราะที่ผ่านมาไม่ว่ากี่ยุคสมัยก็เชื่อใจไม่ได้ สุดท้ายต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำของตัวเองย้อนกลับไปสมัยเด็ก ในอดีตก่อนการบูรณะปราสาทตาเมือนธมเป็นปราสาทตั้งอยู่ใจกลางป่าดงดิบ สถาปัตยกรรมของปราสาทแห่งนี้ก่อนถูกทำลายจากการสู้รบ สวยงามเป็นอย่างมาก แต่ช่วงสงครามกลางเมืองของกัมพูชาที่มีการสู้รบของกลุ่มเขมรแดง ทำให้ปราสาทชำรุดทรุดโทรม สมัยนั้น...เขมรแดงมาปล้นวัว ปล้นควายของชาวไทย ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ยืนยันหลังจากนี้เธอจะไม่ต้อนรับเขมรอีกแล้วเพื่อพิสูจน์และค้นหาความจริง “SEE TRUE” นำข้อมูลไปคุยกับ พิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ นักอักษรศาสตร์ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร ระบุว่า จากศิลาจารึก 14 หลัก มีศิลาจารึกอยู่ 3 หลัก ที่พูดถึงเรื่องคำสาปแช่งและคำอวยพร ได้แก่ ศิลาจารึกหลักที่ 3 มีทั้งคำให้พรและคำสาปแช่ง ผู้ที่ช่วยดูแลปราสาทขอให้เสวยสุขในสวรรค์ ส่วนผู้ทำลายขอให้ตกนรกตราบเท่าที่พระพรหมยังมี 4 พักตร์ พระวิษณุมี 4 กร และพระศิวะยังมี 3 เนตรศิลาจารึกหลักที่ 4 พบที่บริเวณระเบียงคด บรรทัดสุดท้ายของศิลาจารึก สาปแช่งประชาชนผู้ขาดคุณธรรมให้ไปเกิดในนรกทั้ง 32 ตราบเท่าที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ยังมีอยู่ และสุดท้ายคือ ศิลาจารึกหลักที่ 5 พบที่บริเวณมุขกระสันปราสาทประธาน ส่วนท้ายของจารึกด้านที่ 2 แต่งเป็นโศลกภาษาสันสกฤต ระบุชื่อผู้ถวายสมบัติ...พร้อมสาปแช่งให้คนที่แย่งชิงทรัพย์สมบัติไปให้ตกนรกพร้อมญาติพี่น้อง ปัจจุบันจารึกทั้ง 14 หลัก ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์เมื่อดูจากศิลาจารึก ตำนาน “คำสาปชัยวรมัน” ไม่ปรากฏในศิลาจารึกจึงสันนิษฐานว่าอาจเป็นตำนานที่บันทึกในพงศาวดารหรือคัมภีร์ใบลาน บางส่วนอาจถูกเติมแต่งตามเรื่องราวสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยศิลาจารึกปราสาทตาเมือนธม มีการกล่าวถึง “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1”ฉะนั้น “คำสาป” ที่อ้างถึงบริบทของ “ชัยวรมัน” จึงอาจเป็นการตีความคลาดเคลื่อนดร.ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ นักโบราณคดีอิสระและกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศ เสริมว่า ตำนานที่เชื่อมโยงไปถึงพระเจ้าแตงหวานมีลักษณะเป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาและเป็นความเข้าใจผิดของความเกลียดชังมากกว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพราะ...คำสาปเหล่านั้นไม่ปรากฏในศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธม“ปราสาทตาเมือนธม” ถือเป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์เป็นศิลปะเขมรแบบบาปวนเป็นปราสาทที่ควบคุมระบบการปกครองและเศรษฐกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 อีกทั้งยังเป็นประธานของปราสาทกลุ่มตาเมือน ประกอบด้วยปราสาทหิน 3 หลัง คือ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาเมือนย้อนอดีตสู่สมัยสงครามกลางเมืองกัมพูชา...“การสู้รบ” นำมาซึ่งความสูญเสีย โบราณสถานที่ตั้งตระหง่านยืนยงกลับต้องพังทลายเกิดการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ทำให้พื้นที่รอบปราสาทตาเมือนธมสมัยนั้น เต็มไปด้วยกับระเบิดของกัมพูชา ต่อมา...ไทยมีการบูรณะปราสาทตาเมือนธม โดยกรมศิลปากรเข้าไปขุดแต่ง เพื่อให้เห็นหลักฐานของโบราณสถานที่ชัดเจน ทำให้พบหลักฐานสำคัญเป็นศิลาจารึกทั้ง 14 หลัก การบูรณะดำเนินไปเกือบจะแล้วเสร็จ แต่สุดท้ายต้องหยุดชะงักด้วยเงื่อนไขของ MOU43นี่คือเหตุผลเชิงประจักษ์ ที่ชี้ชัดว่า “ไทย” เป็นเจ้าของปราสาทและเป็นผู้ดูแลรักษาโบราณสถานต่างๆมาช้านาน ถึงแม้เรื่องราวของ “คำสาปชัยวรมัน” จะเป็นเพียงตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา แต่ภาพบาดแผลทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชาที่สุดแสนจะเจ็บปวดยาวนาน ทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปัญหาปากท้อง ความไม่สงบในประเทศ กลายเป็นภาพหลอนที่หลายคนเชื่อมโยงไปถึง “คำสาป” ในฐานะผู้รุกราน “แผ่นดินสยาม”...เป็น “ผลกรรม” ตามทันใน “ชาตินี้”...ไม่ต้องรอ...“ชาติหน้า”.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม