สองครอบครัวเหยื่อโศกนาฏกรรมเครื่องบินเชจูแอร์ไถลออกนอกรันเวย์ที่เกาหลีใต้รอจัดการพิธีศพ โดยน้าพร้อมน้องชายน้องเหมยบินไปเกาหลีใต้ รอผลตรวจอัตลักษณ์ ด้านพ่อ น.ส.จงลักษ์ มอบให้สามีชาวเกาหลีใต้จัดการทั้งหมดรอนำอัฐิกลับไทย ด้านหน่วยงานต่างๆช่วยเหลือเต็มที่ โดยเมืองไทยประกันภัยจ่ายสินไหม 2 แสนบาท ตามความคุ้มครอง นศ.ม.กรุงเทพ แก่ครอบครัวน้องเหมย และมูลนิธิมาดามแป้งจ่ายเพิ่มอีก 1 แสนบาท เป็นทุนการ ศึกษาน้องชาย 2 คน ขณะที่ทางการเกาหลีใต้สั่งไว้อาลัย 7 วัน ส่วนการสอบสวนสาเหตุอาจนาน หลังกล่องดำ 1 ใบ ไหม้เสียหายหนัก รวมถึงการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลยังต้องรออีก 33 ราย ขณะเดียวกัน เชจูแอร์หวิดเกิดโศกนาฏกรรมซ้ำ หลังขึ้นบินจากกิมโปไปยังเกาะเชจู แต่ระบบล้อขัดข้องจนต้องลงจอดฉุกเฉิน ส่งผลให้เกาหลีใต้ประกาศสั่งตรวจสอบความปลอดภัยของเครื่องบินโดยสารรุ่นโบอิ้ง 737-800 ที่ให้บริการทั่วประเทศ 6 สายการบิน รวม 99 ลำ ทันทีความคืบหน้าเหตุเครื่องบินสายการบินเชจู เที่ยวบินที่ JC 2216 ไถลออกนอกรันเวย์ ที่สนามบินมูอัน จังหวัดช็อลลาใต้ ประเทศเกาหลีใต้ ที่มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 179 คน ในจำนวนนี้เป็นสาวไทย 2 คน ได้แก่ น.ส.จงลักษ์ ดวงมณี อายุ 45 ปี ชาว จ.อุดรธานี และ น.ส.สิรีธร จะอื่อ หรือ “น้องเหมย” อายุ 22 ปี ชาว จ.เชียงราย ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดวันที่ 30 ธ.ค.หลายหน่วยงานของไทยได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือครอบครัวคนไทยทั้งสองราย โดยเมื่อเวลา 12.30 น. ที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ นายธีรภัทร จะอื่อ อายุ 37 ปี น้าชายของน้องเหมย ได้เดินทางไปพร้อมกับน้องชายของน้องเหมยอีก 2 คนโดยมีเจ้าหน้าที่ของสายการบินเชจูเข้ามาดูแลในการเดินทางทุกอย่างในการเดินทางไปเกาหลีใต้ โดยเครื่องบินออกจากสนามบินเชียงใหม่ในเวลา 15.20 น. ทั้งนี้ นายธีรภัทรให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางว่าเดินทางไป 3 คน ตอนนี้ตนกับแม่น้องเหมยยังคิดอะไรไม่ออก ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบกับต้องรอตรวจดีเอ็นเออีก การจะนำร่างกลับมาหรือเผาแล้วนำอัฐิกลับมานั้น ต้องให้แม่น้องเหมยตัดสินใจ หรืออาจจะให้ฝังที่นั่นเลย เพราะแม่น้องเหมยอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว โดยตนจะอยู่จนกว่าจะเสร็จธุระทุกอย่าง ตอนนี้ญาติทุกคนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและทำอะไรไม่ถูก ซึ่งสายการบินก็ดูแลทั้งเรื่องค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และแม่น้องเหมยจะไปรอรับที่สนามบิน ส่วนค่าเยียวยายังไม่ได้สอบถาม ขอไปเดินเรื่องที่เกาหลีและหาร่างน้องให้พบก่อนอีกด้านหนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางนวลพรรณ ล่ำซำ CEO บมจ.เมืองไทยประกันภัย ได้มอบเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 200,000 บาท ตามความคุ้มครองของกรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคล (กลุ่ม) ซึ่ง บมจ.เมืองไทยประกันภัย เป็นผู้ให้บริการ สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพทุกชั้นปีอย่างต่อเนื่อง และในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิยังมอบเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม 100,000 บาท ให้กับครอบครัวของ “น้องเหมย” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ม.กรุงเทพ หนึ่งในผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมี อาจารย์ศิริพร กนกชัยสกุล รองอธิการบดีสายกิจการนักศึกษา และอาจารย์แสงเดือน รตินธร รองคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว เป็นตัวแทนรับมอบจากนั้น นางนวลพรรณกล่าวหลังการมอบสินไหมฯ ว่าหลังจากได้รับการยืนยันข้อมูลของผู้เอาประกันภัยจากญาติและมหาวิทยาลัยกรุงเทพแล้ว ตนพร้อมคณะผู้บริหารและพนักงานเมืองไทยประกันภัย ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอส่งกำลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ขอยืนยันว่าเมืองไทยประกันภัย พร้อมที่จะดูแลและให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยทุกท่านตามเงื่อนไขกรมธรรม์ จึงจ่ายทันทีในวันนี้ รวมทั้งมูลนิธิมาดามแป้งขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเยียวยา โดยเงิน 100,000 บาทนี้ จะมอบเป็นทุนการศึกษาให้น้องทั้งสองคนของน้องเหมย ทราบจากอาจารย์ทั้งสองท่านว่า น้องเป็นที่รักของคนในคณะ ผลการเรียนดี กำลังเข้าสู่ช่วงการฝึกงานแอร์โฮสเตส สอบผ่านเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นข่าวเศร้าใจและสะเทือนใจส่งท้ายปีส่วนที่บ้าน น.ส.จงลักษ์ ดวงมณี อายุ 45 ปี ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดียวกัน ที่ ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดช่วงบ่ายมีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน รวมถึง น.ส.พรพิมล อัญชลี ปลัดอำเภอหนองวัวซอ มาคอยให้กำลังใจ นายบุญช่วย ดวงมณี อายุ 77 ปี บิดาของ น.ส.จงลักษ์ และช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่มาช่วยเหลือ ซึ่งนายบุญช่วยกล่าวถึงการติดต่อรับศพลูกสาวว่าเมื่อคืน นายโฮ แฟนชาวเกาหลีของลูกโทรศัพท์มาหาว่าลูกจดทะเบียนสมรสกับเขา ถือว่าเป็นชาวเกาหลี เขาจะไปรับศพในวันที่ 31 ธ.ค.และนำไปทำพิธีฌาปนกิจให้เรียบร้อย แล้วจะนำเถ้าอัฐิกลับมาบ้านที่ไทย แต่ไม่รู้ว่าจะนำอัฐิกลับมาวันไหน ตนปรึกษาญาติพี่น้อง ต่างเห็นดีด้วย จึงให้แฟนชาวเกาหลีเป็นคนจัดการทุกอย่าง ส่วนครอบครัวของลูกที่อยู่ จ.พิจิตร ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่ได้ขัดข้อง และคาดว่าจะมาร่วมงานในวันที่นำอัฐิมาถึงอุดรฯแล้วส่วนการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ นั้น วันเดียวกัน นายวิกิจชัย แซ่เจีย ผู้จัดการธนาคาร อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เขตอุดรธานี พร้อมคณะ นำโฉนดที่ดินของ น.ส.จงลักษ์ และสินไหมทดแทนจำนวน 76,388.94 บาท มามอบให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ เนื่องจาก น.ส.จงลักษ์ นำโฉนดที่ดินไปกู้เงิน ธอส.จำนวน 5 แสนบาท เพื่อมาสร้างบ้าน พร้อมทำประกันชีวิตเต็มวงเงิน มอบให้แม่เป็นผู้รับผลประโยชน์ เมื่อ น.ส.จงลักษ์เสียชีวิต ทำให้หนี้เป็นศูนย์ และยังมีเงินสินไหมทดแทนอีกจำนวนหนึ่ง แต่แม่ได้เสียชีวิตไปเมื่อ 5 ปีก่อน จึงนำเงินมามอบให้นายบุญช่วย ซึ่งเป็นคู่สมรสแทนด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่าได้สั่งให้ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) พม. ส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ศรส.จังหวัดอุดรธานี ไปเยี่ยมครอบครัว น.ส.จงลักษ์ ดวงมณี และ ศรส.จังหวัดเชียงราย ไปเยี่ยมครอบครัว น.ส.สิริธร จะอื่อ ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งครอบครัว น.ส.จงลักษ์ ดวงมณี ยังอยู่ในความตกใจ ได้พูดคุยให้กำลังใจและได้มีการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ต่างๆ รวมถึงให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการสำหรับครอบครัวผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ได้ประสานสำนักงาน พม.จังหวัดพิจิตรเพื่อเยี่ยมบ้านสามีและบุตรทั้ง 2 คนของผู้เสียชีวิต เพื่อสอบข้อเท็จจริงในการให้ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไปเช่นเดียวกับ นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการช่วยเหลือ 2 คนไทยที่เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินไถลออกนอกรันเวย์ที่สนามบินมูอันว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ได้แสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมมอบให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนและญาติจะได้รับ โดย น.ส.จงลักษ์เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ทายาทมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ 109,751.28 บาท (ยังไม่รวมดอกผล) เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ตามระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ และค่าจัดการศพ 50,000 บาท โดยสำนักงานประกันสังคม จ.อุดรธานี จะได้แจ้งทายาทเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่อไป ส่วน น.ส.สิริธร ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนสำหรับความคืบหน้าการสอบสวนสาเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมกับเครื่องบินโดยสารรุ่นโบอิ้ง 737-800 เที่ยวบิน JC2216 สายการบินเชจู แอร์ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานคำแถลงของกระทรวงคมนาคมของเกาหลีใต้ว่า ก่อนเกิดเหตุนักบินได้แจ้งไปยังหอบังคับการบินว่าตัวเครื่องพุ่งชนเข้ากับนก และขณะเกิดเหตุเครื่องบินไถลครูดไปกับพื้นหลังจากนักบินตัดสินใจนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินแบบเอาท้องลงเป็นระยะทางประมาณ 1,200 เมตร ไปตามรันเวย์ที่มีความยาวอยู่ที่ 2,800 เมตร ก่อนพุ่งชนกำแพงสนามบินที่บริเวณปลายรันเวย์ ขณะที่เจ้าหน้าที่เก็บกู้กล่องดำจากซากเครื่องบินได้ทั้ง 2 กล่อง และส่งไปตรวจสอบวิเคราะห์ที่ศูนย์ปฏิบัติการในสนามบินนานาชาติกิมโป กรุงโซล โดยทางการเกาหลีใต้จะปฏิบัติการร่วมกับทีมสอบสวนของสหรัฐฯ นำโดยคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ (NTSB) บริษัทโบอิ้ง ผู้ผลิตเครื่องบิน และองค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐฯ (FAA) แต่เนื่องจากมีกล่องดำกล่องหนึ่ง ถูกเพลิงลุกไหม้จนได้รับความเสียหายรุนแรง อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 1-6 เดือน ขณะที่การพิสูจน์ยืนยันอัตลักษณ์ของเหยื่อด้วยดีเอ็นเอและลายนิ้วมือ มี 33 ร่าง ยังไม่สามารถยืนยันตัวตนได้เนื่องจากถูกเพลิงไหม้อย่างรุนแรงจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม หากยืนยันอัตลักษณ์ได้แล้วเจ้าหน้าที่จะนำร่างส่งให้แก่ครอบครัวเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป ขณะที่รัฐบาลประกาศไว้อาลัยให้กับเหยื่อเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.2567 ถึงเที่ยงคืนของวันที่ 4 ม.ค.2568นอกจากนี้ สำนักข่าวท้องถิ่นรายงานด้วยว่าเกือบเกิดเหตุสลดกับสายการบินเชจูแอร์อีกครั้ง โดยเมื่อเวลา 07.25 น. วันที่ 30 ธ.ค.เครื่องบินโดยสาร รุ่นโบอิ้ง 737-800 เที่ยวบินที่ 7C101 บรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 161 คน ออกบินจากสนามบินนานาชาติกิมโป กรุงโซล ไปยังเกาะเชจู ต้องลงจอดฉุกเฉินทันทีที่สนามบินต้นทาง ขณะกำลังนำเครื่องขึ้นเมื่อเวลา 06.37 น. หลังตรวจพบปัญหาขัดข้องที่ระบบล้อเครื่องบิน ด้านนายซง คยองฮุน หัวหน้าฝ่ายจัดการสนับสนุนของสายการบินเชจู แอร์เผยว่า กัปตันตัดสินใจนำเครื่องบินลงจอดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย แม้ว่าระบบล้อเครื่องจะกลับมาทำงานได้ตามปกติแล้วก็ตามทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าวทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้เตรียมตรวจสอบความปลอดภัยของเครื่องบินโดยสารรุ่นโบอิ้ง 737-800 ที่ให้บริการทั่วประเทศ จากเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าว โดยเครื่องบินรุ่นนี้มักให้บริการในสายการบินราคาประหยัดเป็นส่วนใหญ่ โดยเชจู แอร์ เป็นสายการบินที่ให้บริการด้วยเครื่องบินรุ่นนี้มากที่สุดคือ 39 ลำ ตามด้วยสายการบินที’เวย์ แอร์ 27 ลำ สายการบินจิน แอร์ 19 ลำ สายการบินอีสเตอร์ เจ็ท 10 ลำ และสายการบินแอร์ อินชอน 2 ลำ ส่วนสายการบินโคเรียน แอร์ให้บริการในรุ่นแยกย่อยของ 737-800 จำนวน 2 ลำ ทั้งนี้ ทางการสั่งการให้สายการบินทั้ง 6 แห่ง ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างละเอียด ครอบคลุมถึงการฝึกบิน เครื่องยนต์ และระบบล้อด้วยอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่