ดีเอสไอมีมติกล่าวหา 4 บิ๊กกระทรวงแรงงาน ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หลังพบหลักฐานเอี่ยวขบวนการค้ามนุษย์ในฟินแลนด์ เป็นระดับรัฐมนตรี 2 คน และผู้บริหารระดับสูงอีก 2 คน เผยผลสอบสวนของทั้ง 2 ประเทศพบขบวนการสมคบระหว่างนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลธรรมดา ร่วมเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทฝั่งไทยและบริษัทนำเข้าแรงงานเก็บผลไม้ป่าของฟินแลนด์เป็นค่า “หัวคิว” รายละ 3 พันบาท เหตุเกิด ช่วงปี 63-66 มีผู้อยู่ในข่ายต้องเสียค่าใช้จ่ายร่วม 12,000 คน คิดเป็นเงินประมาณ 36 ล้านบาทด้าน “ไพโรจน์ โชติกเสถียร” ปลัดแรงงาน ลั่นไม่มีเจ้าหน้าที่กระทรวงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นการอ้างลอยๆทำให้กระทรวงเสียหาย เป็นการตั้งข้อกล่าวหาโดยที่ยังไม่มีรายละเอียด ขู่ฟ้องคนปูดข้อมูลเท็จร้องดีเอสไอทำหน่วยงานเสียหายดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาค้ามนุษย์ 4 บิ๊กกระทรวงแรงงาน ทั้งฝ่ายการเมืองและผู้บริหาร เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีการแจกเอกสารข่าวกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีมติให้กล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้บริหารระดับกระทรวงแห่งหนึ่งในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีพบหลักฐานเกี่ยวข้องขบวนการส่งแรงงานไทยเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในสาธารณรัฐฟินแลนด์ เสียหาย 36 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 10 ม.ค. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นำโดยกองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะพนักงานอัยการที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้ร่วมสอบสวน มีมติร่วมกันให้กล่าวหาอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองระดับรัฐมนตรี 2 คน และผู้บริหารระดับสูง กระทรวงแรงงาน อีก 2 คน รวมทั้งหมด 4 คน ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 โดยจะเร่งสรุปสำนวนการสอบสวนส่งสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ต่อไปกรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีการค้ามนุษย์ ได้สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 81/2566 เนื่องจากได้รับหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศเรื่องแรงงานไทยเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในสาธารณรัฐฟินแลนด์ หลังสถานเอกอัคร ราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ช่วยเหลือแรงงานไทยในฟินแลนด์ที่ไปทำงานเก็บผลไม้ป่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในการเดินทางกลับประเทศไทยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบว่าเป็นคดีความผิดที่ส่วนหนึ่งเกิดนอกราชอาณาจักร เสนอสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการสูงสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 และอัยการสูงสุดมอบหมายให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษสอบสวนต่อไป โดยมอบหมายพนักงานอัยการมาร่วมสอบสวน มีการขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา รวบรวมพยานหลักฐานจากสาธารณรัฐฟินแลนด์ในความผิดฐานค้ามนุษย์ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อมาสาธารณรัฐฟินแลนด์ส่งพยานหลักฐานสำคัญตามที่ทางการไทยร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ จากการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด และพยานหลักฐานที่ได้จากความร่วมมือระหว่างประเทศกับตำรวจสาธารณรัฐฟินแลนด์ ปรากฏข้อเท็จจริงมีขบวนการสมคบระหว่างนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลธรรมดา ร่วมกันเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทผู้ประสานงานฝั่งไทยที่ทำหน้าที่ประสานงานกับบริษัทนำเข้าแรงงานของสาธารณรัฐฟินแลนด์ เป็นค่า “หัวคิว” (DOE MAMAGEMENT) หรือค่าดำเนินการเฉลี่ยรายละ 3,000 บาท โดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บตามกฎหมาย บริษัทประสานงานฝั่งไทยได้นำมาเรียกเก็บจากคนงานที่ไปทำงานอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายตามจริง โดยในปี พ.ศ.2563-พ.ศ. 2566 เป็นช่วงดำเนินคดี มีผู้อยู่ในข่ายต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวประมาณ 12,000 คน คิดเป็นเงินประมาณ 36 ล้านบาท คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการ มีมติกล่าวหาบุคคลดังกล่าวรวม 4 คน และจะนำส่งสำนวนคดีพิเศษดังกล่าวต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไปขณะที่นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับแรงงานไทยรายหนึ่งที่ไปทำงานที่ประเทศฟินแลนด์แล้วถูกจับกุมเนื่องจากพบว่ามีการค้ามนุษย์ ได้ให้การกับตำรวจฟินแลนด์ว่ามีการจ่ายค่าหัวคิวแรงงาน กระทรวงแรงงานขอยืนยัน ไม่มีเจ้าหน้าที่ในกระทรวงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่รู้ว่าเขาเอาเงินไปจ่ายกับใครเป็นการอ้างลอยๆทำให้กระทรวงได้รับความเสียหาย เพราะเป็นการตั้งข้อกล่าวหาโดยที่ยังไม่มีรายละเอียด ตามกระบวนการแล้ว ดีเอสไอจะต้องส่งเรื่องให้กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อนตั้งข้อกล่าวหานายไพโรจน์กล่าวต่อถึงการเรียกเก็บค่าหัวคิว ว่าข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากทางฟินแลนด์ระบุว่ามีกลุ่มนายหน้าหรือผู้จัดหางานให้คนไทยไปทำงานในฟินแลนด์ เรียกเก็บค่าใช้จ่ายแรงงานแล้วบอกว่าเป็นค่าหัวคิว เพื่อนำส่งให้กับข้าราชการการเมืองของกระทรวง 2 คน ซึ่งฝ่ายข้าราชการประจำก็จะไม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ยืนยันได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องไปหาว่าเขาจ่ายเงินนั้นกับใครแล้วนำเงินส่งไปให้ใคร หากข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริงจะฟ้องกับผู้ที่ตั้งข้อกล่าวหา ในส่วนนี้จะเป็นนิติบุคคลที่นำข้อมูลมาแจ้งกับดีเอสไอซึ่งตนรู้ว่าเป็นคนไหนเนื่องจากได้รับการปล่อยตัวจากตำรวจฟินแลนด์ เขาได้กล่าวหาว่า มีการเรียกเก็บเงินผ่านโบรกเกอร์ ทำให้คิดไปว่ามีการนำเงินส่วนนั้นมาให้กับอธิบดีกรมการจัดหางานหรือผู้บริหารฝ่ายการเมืองต้องได้รับเงินนั้น แต่ก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันได้วันเดียวกัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีนี้ว่า กรณีนี้เป็นใครที่ถูกเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา ต้องถามทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นเรื่องระหว่างประเทศ การสอบสวนเป็นเรื่องของอัยการสูงสุด ที่มีอำนาจสอบสวน และอัยการสูงสุดส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษมาร่วมสอบสวน จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจฟินแลนด์ พบหลักฐานเส้นทางการเงิน แต่ไม่ทราบว่าเป็นใครยังไม่ได้รับรายงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากท่านปลัดขึ้นมาอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่