นักวิจัยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี กรมวิชาการเกษตร เปิดตัวงาแดงพันธุ์ใหม่ “อุบลราชธานี 3” ให้ผลผลิตและเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 และ 2 แถมต้านทานแมลงศัตรูมวนฝิ่นสีเขียว นางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า หลังจากศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์งาแดงที่ให้ผลผลิตสูงกว่า พันธุ์พื้นเมือง จนได้พันธุ์อุบลราชธานี 1 ในปี 2536 และพันธุ์อุบลราชธานี 2 ในปี 2556 แต่ปรากฏว่า ปัจจุบันสภาพแวดล้อมต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงไปจาก เดิม ปริมาณน้ำฝนมีความแปรปรวน และการระบาดของแมลงศัตรูงามีมากขึ้น ทำให้พันธุ์เดิมๆที่มีให้ผลผลิตลดน้อยถอยลง ประกอบกับในประเทศไทยงาแดงเป็นพืชที่เกษตรปลูกมากที่สุด มากถึง 80% ของพื้นที่ปลูกในประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์งาแดงขึ้นมาใหม่ จนได้งาแดงพันธุ์ “อุบลราชธานี 3”โดยเป็นพันธุ์ที่เกิดจากการนำสายพันธุ์งาที่ได้จากธนาคารเชื้อพันธุ์พืชของสหรัฐอเมริกาและที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน อิรัก ญี่ปุ่น อัฟกานิสถาน เมียนมา รวมทั้งสายพันธุ์พื้นเมืองในประเทศจำนวน 77 สายพันธุ์ มาทำการคัดเลือกสายพันธุ์ เมื่อปี 2551 จนพบว่า งาแดงสายพันธุ์จากเมียนมา มีความเหมาะสมที่จะปลูกในบ้านเรามากที่สุด จึงทำการคัดพันธุ์ให้เป็นสายพันธุ์บริสุทธิ์ในปี 2553 จากนั้นนำไปปลูกศึกษาลักษณะทางการเกษตรในแปลงรวบรวมและศึกษาพันธุ์งา คัดเลือกสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดี ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์งาแดงเพื่อให้ผลผลิตปลูกการประเมินพันธุ์เปรียบเทียบมาตรฐาน เปรียบเทียบในท้องถิ่น และปลูกเปรียบเทียบในไร่เกษตรกร จนได้งาแดงสายพันธุ์อุบลราชธานี 3 ที่คณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร พิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรในปี 2564รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรยังได้บอกถึงลักษณะเด่นของงาแดงพันธุ์ใหม่นี้ว่า ให้ผลผลิตเฉลี่ยในแหล่งปลูกสำคัญที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ ไร่ละ 216 กก. สูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 ที่ให้ผลผลิตไร่ละ 192 กก. และสูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 2 ที่ให้ผลผลิตไร่ละ 206 กก. และยังให้ปริมาณน้ำมันเฉลี่ยสูง 46.4% สูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 และ 2 รวมทั้งยังมีความต้านทานต่อการทำลายมวนฝิ่นสีเขียว เหมาะสำหรับปลูกในแหล่งปลูกที่สำคัญ และสภาพการผลิตพืชไร่ทั่วไป เกษตรกรสามารถปลูกสร้างรายได้เสริมได้ตลอดทั้งปี เกษตรกรสนใจนำงาแดงพันธุ์ไปปลูก ติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี โทร.0-4521-0397.