กกต.พร้อมเต็มที่รับสมัคร สส.แบ่งเขต วันแรก 27 ธ.ค. ประกาศหลักเกณฑ์เลือกตั้ง 7 พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เล็งย้ายหน่วยเลือกตั้งไปอยู่พื้นที่ปลอดภัย หากสถานการณ์ยังไม่สงบ เลขาธิการ กกต.ยืนกรานต้องกาบัตรวันเดียวทั่วราชอาณาจักร 8 ก.พ.69 “อนุทิน” ยืนยันไม่จับมือพรรคแตะต้องมาตรา 112 แทงกั๊กแนวทางจับขั้วรัฐบาล ให้รอฟังคำตัดสินจากประชาชน “ณัฐพงษ์” ปลุกประชาชนให้เลือกข้าง จะเลือกสีส้มหรือสีน้ำเงินตั้งรัฐบาล ยืนกรานไม่เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ แม้ติดชนักคดีจริยธรรมร้ายแรงใน ป.ป.ช. “อภิสิทธิ์” นำทีมผู้สมัคร สส.กทม. ไหว้ศาลหลักเมือง ประกาศไม่จับมือกล้าธรรม และพรรคที่มีนโยบายจุดไฟขัดแย้งการรับสมัครเลือกตั้ง สส.ระบบเขตที่จะเริ่มต้นในวันที่ 27 ธ.ค. โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เตรียมความพร้อมรับสมัครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมออกประกาศการเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังมีปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ โดยให้ตั้งหน่วยเลือกตั้งในพื้นที่ปลอดภัย และอำนวยความสะดวกประชาชนในศูนย์อพยพใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้ากกต.พร้อมเลือกตั้ง-ทำประชามติเมื่อเวลา 09.30 น. ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประชุมคณะกรรมการอำนวยการประจำศูนย์อำนวยการ และประสานงานการเลือกตั้ง สส. การออกเสียงประชามติ มีนายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ประธาน กกต.เป็นประธานการประชุม โดยนายณรงค์กล่าวว่า การเลือกตั้ง สส.และออกเสียงประชามติครั้งนี้เป็นภารกิจสำคัญ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ กกต.และพนักงาน กกต.ไม่สามารถจัดทำประชามติและเลือกตั้งออกมาให้สมบูรณ์ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน มั่นใจว่าความทุ่มเทและสนับสนุนอย่างเข้มแข็งของทุกคน จะทำให้การเลือกตั้ง สส. การออกเสียงประชามติเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม ออกกฎกาบัตร 7 พื้นที่ชายแดนวันเดียวกัน กกต.ออกประกาศแนวทางดำเนินการจัดการเลือกตั้ง สส.ในเขตเลือกตั้งที่มีสถานการณ์ความไม่สงบพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มีสาระสำคัญกำหนดให้ กกต.ประจำเขตเลือกตั้ง และ ผอ. เลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง จ.จันทบุรี ตราด บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สระแก้ว สุรินทร์ และอุบลราชธานี จัดการเลือกตั้งดังนี้ 1.การปิดประกาศ ณ ที่เลือกตั้ง หรือสถานที่ประชาชนสะดวกในการตรวจสอบแล้ว ให้ประกาศในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือวิธีอื่นใดที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าถึงได้โดยสะดวกด้วย 2.การจัดส่งรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งในทะเบียนบ้านไปยังเจ้าบ้าน ให้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด หากไม่สามารถจัดส่งได้ ให้รายงานให้ กกต.ทราบ และเก็บรักษาเอกสารดังกล่าวในที่ปลอดภัย จนกว่าสถานการณ์จะสิ้นสุดลง แล้วจัดส่งเอกสารดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วย้ายหน่วย ลต.ไปอยู่ที่ปลอดภัย3.จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อยู่ในศูนย์อพยพลงทะเบียนขอใช้สิทธิลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางนอกเขตเลือกตั้ง ภายในเวลาตามประกาศ ขอความร่วมมือผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงทะเบียนใช้สิทธิลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางนอกเขตเลือกตั้งที่มีความปลอดภัย อยู่ใกล้เคียงเขตเลือกตั้งที่เกิดสถานการณ์ความไม่สงบ ในวันลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งให้ประสานหน่วยงานรัฐ จัดพาหนะรับส่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลาง 4.การจัดหน่วยเลือกตั้ง หากยังมีสถานการณ์ไม่สงบ ให้คณะกรรมการเลือกตั้งประจำเขตพิจารณาเปลี่ยนแปลงที่เลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถเดินทางได้สะดวกปลอดภัย 5.ภายใน 7 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง ให้นายทะเบียนท้องถิ่นจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกช่วยเหลือผู้มีสิทธิเลือกตั้งในศูนย์อพยพที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ลงทะเบียนแจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิวางแผนจัดโซนสีเลือกตั้งนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงแนวทางจัดการเลือกตั้งในจังหวัดที่เป็นพื้นที่สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้สถานการณ์ชายแดนยังไม่เรียบร้อย ต้องเตรียมความพร้อมจัดเลือกตั้งวันที่ 8 ก.พ.2569 เพื่อจัดเลือกตั้งในวันเดียวทั่วราชอาณาจักร ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พรรคการเมือง จะเดินไปด้วยกันอย่างไรให้การเลือกตั้งมีความเรียบร้อย รูปแบบการเลือกตั้งมีหลายวิธีการ เช่น พื้นที่สีขาวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา จะเลือกตั้งตามปกติ พื้นที่สีเหลืองที่มีผู้อพยพจำนวนไม่มาก อาจตั้งหน่วยเลือกตั้งใหม่นอกหน่วยเลือกตั้งเดิม แต่อยู่ในเขตเลือกตั้งนั้น ให้เดินทางสะดวก และพื้นที่สีแดง ถ้าเลือกตั้งไม่ได้จริงๆจะเลื่อนเฉพาะหน่วยเลือกตั้งนั้น เช่น เกิดพายุ อุทกภัย ถ้าทำแบบนี้ จะทำให้การเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ไม่กระทบใคร แต่ถ้าประชาชนอยู่นอกพื้นที่มากกว่า75% อาจต้องรณรงค์ให้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งหมดทำตามกฎหมายที่ให้ช่องทางให้หมดแล้ว จะเลือกรูปแบบใดขึ้นอยู่กับสถานการณ์วันนั้นรอประเมินสถานการณ์เลือก อบต.นายแสวงกล่าวว่า จะทำทุกอย่างให้เป็นปกติตามที่กฎหมายให้อำนาจ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ในหน่วยเกิน 75% จะเลือกตั้งตามปกติ เพราะหน่วยมีจำนวนไม่มาก ขอดูจากวันที่ 11 ม.ค.2569 ที่จะเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ก่อน เนื่องจากมี 51 อบต.ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน จะขอประเมินสถานการณ์ก่อน ส่วนการจัดรถรับส่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิถึงหน่วยเลือกตั้งถือเป็นการอำนวยความสะดวก เป็นรถสำนักงาน กกต. เมื่อถามว่าคนที่ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าไปแล้ว แต่ต้องออกเสียงประชามติในวันที่ 8 ก.พ.2569 สามารถยกเลิกได้หรือไม่ เนื่องจากเพิ่มภาระให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ 2 วัน นายแสวงตอบว่า มีระเบียบยกเลิกการลงทะเบียนได้ ให้ทำก่อนภายใน 30 วัน คือช่วงที่เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.2568- 5 ม.ค.2569วางเกณฑ์ประชามตินอก ปท. ขณะเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการออกเสียงประชามตินอกราชอาณาจักรที่กำหนดวันออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สส. โดยกำหนดให้สถาน สถานเอกอัครราชทูต สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ดำเนินการจัดลงคะแนนประชามตินอกราชอาณาจักร 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.จัดลงคะแนนเสียงประชามติที่หน่วยลงคะแนนที่สถานเอกอัครราชทูตกำหนด 2.จัดลงคะแนนเสียงประชามติทางไปรษณีย์ โดยสถานเอกอัครราชทูตส่งบัตรออกเสียงประชามติให้ตามที่อยู่ที่ผู้มีสิทธิออกเสียงลงทะเบียนขอใช้สิทธิประชามตินอกราชอาณาจักร 3.การลงคะแนนเสียงประชามติวิธีอื่น ที่เอกอัครราชทูตเห็นสมควร กทม.ซ้อมรับสมัครเสมือนจริงที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานครไทย-ญี่ปุ่น กกต.จัดอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อซักซ้อมระเบียบขั้นตอนรับสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบ่งเขตเลือกตั้งเสมือนจริง ในพื้นที่ กทม. โดยย้ำเตือนเจ้าหน้าที่ให้เข้มงวดตรวจสอบสิทธิการสมัคร หลังทราบว่ามีรองหัวหน้าพรรคหนึ่งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อม ทำให้ขาดสิทธิรับสมัคร รวมถึงตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองครบ 30 วันจนถึงวันเลือกตั้งหรือไม่ โดยว่าที่ ร.ต.สัมพันธ์แสงคำเลิศ ผอ.กกต.กทม. กล่าวว่า กกต.กทม.มีความพร้อมทั้งอาคารสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ และบุคลากร ประชุมซักซ้อมขั้นตอนอย่างละเอียด ซักซ้อมหน้างานเสมือนจริง เพื่อให้การรับเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีความพร้อม 80-90% ที่เหลือขึ้นอยู่กับวันรับสมัคร 27 ธ.ค.นี้ ย้ำว่าผู้สมัครเมื่อได้เบอร์แล้วห้ามจัดมหรสพ หรือการรื่นเริงเด็ดขาด สามารถขึ้นแห่ได้ แต่ไม่ให้มีมหรสพดนตรี หรือกลองยาวย้ำจุดยืนไม่จับมือพรรคแตะ ม.112เมื่อเวลา 12.30 น. ที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย กล่าวในรายการโหนกระแส ถึงกรณีไม่ไปออกรายการดีเบตหาเสียงว่า พูดไม่เก่ง ไม่ชอบตอบโต้ เดี๋ยวทะเลาะกัน ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นนายกฯพูดอะไรต้องระวังทุกฝีก้าว ถ้าพูดไปแล้วไม่ได้ผลบวกมีแต่ลบ เพราะต้องไปทะเลาะกับเขา เวลาพูดคนละ 2 นาที พูดไม่ได้ ถ้าให้พูด 3 ชั่วโมงพูดได้ การไปนั่งตอบโต้ข้อกล่าวหาต่างๆ ไม่ได้พูดเรื่องตัวเอง เสียเวลาคนฟัง เมื่อถามว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน บอกจะไม่โหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯอีก นายอนุทินตอบว่า ทำไมไม่โหวต เพราะโกรธที่ยุบสภาหรือ ทำชั่ว ทำเลวกับประเทศหรือไม่ ถึงไม่มาร่วมงาน ถ้าบอกตัวเองเป็นคนดี รักบ้านเมือง ตนก็รักชาติไม่แพ้กัน ประชาชนยังไม่ตัดสินมาบอกไม่ทำงานร่วมกันแล้ว ไม่เคยคิดจะร่วมกับใครไม่ได้ แต่จะไม่ร่วมกับพรรคที่ไปแตะมาตรา 112 เมื่อถามว่า หากต้องจับขั้วกับพรรคกล้าธรรม และพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคประชาธิปัตย์บอกไม่เอาพรรคกล้าธรรม นายอนุทินตอบว่า เราต้องมีกระบวนการยุติธรรม วาทกรรมที่ไปกล่าวหาคนนี้ชั่วโดยที่ศาลยังไม่ตัดสิน ก็คงไม่มีใครมารับใช้บ้านเมืองกันพอดี ที่ผ่านมาไม่เคยบอกจะไม่ร่วมกับใคร มีแต่คนอื่นพูดว่า ไม่ร่วมกับตน หลังเลือกตั้งไม่เกินเที่ยงคืนจะเห็นรัฐบาลทันทีไม่ปิดประตูจับขั้วตั้งรัฐบาลต่อมาเวลา 14.00 น. นายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งว่า ต้องฟังการตัดสินจากประชาชน ยึดหลักนี้มาตลอด ขอความกรุณาไม่ถามใครจะจับกับใคร เมื่อถามว่า ไม่ปิดประตูพรรคใด รวมถึงพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ยึดประชาชน คนที่จะจับตนไปมัดกับใครคือ ประชาชน เมื่อถามว่า คืนวันที่ 8 ก.พ.2569 คาดหวังว่า จะมีการกระหน่ำโทรศัพท์เข้ามาหรือไม่ นายอนุทินร้องเพลงตอบกลับว่า “ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝาก” เมื่อถามว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ประกาศตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคภูมิใจไทย นายอนุทินตอบว่า ทุกพรรคแข่งกันหมด เชื่อมั่นในตัวพรรคภูมิใจไทย มั่นใจนโยบายที่ประกาศไป จะได้จำนวน สส.ถึงหลักร้อย เมื่อถามว่า หัวหน้าพรรคประชาชนบอกนายอนุทินใช้มาตรา 112 เป็นนิทานหลอกเด็ก นายอนุทินตอบว่ามาตรา 112 ไม่ใช่นิทานหลอกเด็ก เกิดขึ้นก่อนมีพรรคประชาชน ถ้าจะแก้มาตรา 112 ก็ร่วมกันไม่ได้ ชัดเจนว่า เขามีความคิดแก้ไข ใครหลอกประชาชนกันแน่ ส่วนที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า บอกนายณัฐพงษ์พูดเรื่องนิรโทษไม่ใช่แก้กฎหมายมาตรา 112 นายอนุทินตอบว่า การนิรโทษกรรมคนทำผิดมาตรา 112 ไม่ต้องรับผิด ไม่ใช่แนวทางพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้เข้าใจผิดปลุกเลือกข้างเอา ปชน.หรือ ภท.นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ประกาศไม่จับมือทำงานกับพรรคที่จะแก้มาตรา 112 ว่า สิ่งที่นายอนุทินให้สัมภาษณ์มีความน่าเป็นห่วง เอาเรื่องมาตรา 112 มาเป็นข้ออ้างสร้างเงื่อนไขทางการเมือง นำมาเรียกกระแสหรือไม่ ไม่อยากให้นายอนุทินนำเรื่องนี้มาเป็นวาทกรรม สร้างนิทานหลอกเด็ก เพราะในกรอบการวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่มีพรรคใดแก้มาตรา 112 ได้อีกแล้ว ไม่กังวลที่นายอนุทินประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่มีนโยบายแก้มาตรา 112 การเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนต้องเลือกระหว่างรัฐบาลพรรคประชาชน หรือรัฐบาลนายกฯอนุทิน เมื่อถามว่า พรรคประชาชนจะไม่จับมือกับใครบ้าง นายณัฐพงษ์ตอบว่า เราไม่จับมือกับพรรคกล้าธรรม แต่ถ้าพรรคภูมิใจไทยจะจับมือพรรคกล้าธรรมก็เป็นเรื่องของเขา ให้ประชาชนเป็นคนเลือกอยากได้รัฐบาลแบบใด เมื่อถามว่า การที่พรรคประชาชนตั้งเงื่อนไขต่างๆจะนำไปสู่การเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือไม่ นายณัฐพงษ์ตอบว่า พรรคที่ชนะเลือกตั้งอันดับ 1 ควรเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องไปถามพรรคภูมิใจไทยมีความพยายามจะจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคประชาชนหรือไม่ ถ้านายอนุทินมั่นใจจะไม่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ก็ไม่ควรมาตั้งเงื่อนไขกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาชนยันไม่เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯเมื่อถามว่า ประเมินการเลือกตั้งในครั้งนี้ ผลจะออกมาอย่างไร นายณัฐพงษ์ตอบว่า พรรคประชาชนมั่นใจจะเอาชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แน่นอน ตอนนี้เหลือภารกิจอย่างเดียว คือ ทำให้ประชาชนไว้ใจพรรคเรามากที่สุด ให้มีเสียงในสภาฯมากพอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ป้องกันพรรคอันดับ 2 และ 3 รวมขั้วกัน มาจัดตั้งรัฐบาลแข่ง ขัดหลักการเมืองแบบรัฐสภา ส่วนคดีผิดจริยธรรมร้ายแรงของอดีต 44 สส.พรรคก้าวไกลที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.นั้น พรรคประชาชนจะไม่เปลี่ยนตัวแคนดิเดต ไม่เปลี่ยนผู้สมัครรับเลือกคนใด เพราะได้บริหารความเสี่ยง คิดทุกอย่างมาอย่างดีแล้ว หลังจากนี้จะเดินหน้าเลือกตั้งเท่านั้น“มาร์ค” นำผู้สมัครไหว้ศาลหลักเมืองเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 26 ธ.ค.2568 ที่ศาลหลักเมือง กรุงเทพฯ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำผู้สมัคร สส. กทม.กลุ่ม “กรุงเทพฯฟ้าใหม่พร้อมก่อน เดินก่อน” ทั้ง 33 เขต ร่วมสักการะศาลหลักเมือง โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการส่ง 3 ชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ว่า มั่นใจแคนดิเดตนายกฯ ทั้ง 3 คน มองอนาคตประเทศที่อยากเห็นตรงกัน การทำงานทั้ง 3 คนมีลักษณะกลมกลืน ขอให้มั่นใจ แคนดิเดตนายกฯพรรคประชาธิปัตย์ กลมกลืน ยึดมั่นใจอุดมการณ์ วิสัยทัศน์เดียวกัน ได้รับกระแสตอบรับดี สิ่งสำคัญไม่อยากให้ประเทศไทยติดหล่มสภาพเศรษฐกิจสังคมที่ผ่านมา จะทยอยเปิดนโยบายที่เป็นคำตอบแก้จนแต่ละด้าน หากมีโอกาสทำงาน 4 ปี เศรษฐกิจไทยโต 5% ลดหนี้สินประชาชนจากยอดหนี้ 80-90% เหลือ 60% สามารถทำได้โดยการเมืองสุจริต ประเทศไทยไม่ถูกจัดอันดับความโปร่งใสที่ 107ไม่จับมือพรรคจุดไฟขัดแย้งเมื่อถามว่า พรรคกล้าธรรมตอบโต้นายอภิสิทธิ์กรณีประกาศไม่จับมือร่วมรัฐบาล โดยมองว่า เป็นแค่วาทกรรมทางการเมือง นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ไม่ใช่วาทกรรม แต่เป็นความตั้งใจประกาศ และทำจริง แต่ไม่อยากตอบโต้ เมื่อถามว่า พรรคประชาชนสนับสนุนคำประกาศพรรคประชาธิปัตย์ จะมีโอกาสร่วมทำงานหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า พูดชัดเจนว่า เป็นห่วงการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ยืนยันว่า นโยบายสร้างแตกแยก เราไม่สนับสนุน ไม่ร่วมกับพรรคที่มีนโยบายสร้างความแตกแยกเช่นกัน พรรคใดมีนโยบายแบบนี้ไม่ไปร่วม หากไม่แสดงจุดยืนชัดเจน จะเปิดโอกาสกลับไปสู่การเมืองที่มีข้อตกลงลับ มีข้อตกลงแล้วฉีกข้อตกลง สลับไปสลับมา เราพร้อมร่วมกับทุกพรรคที่สร้างบ้านเมืองสุจริต เมื่อถามอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์จะร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ทำไมต้องถามต่อ พูดชัดเจนแล้ว ไปถามคนอื่น มองว่าสิ่งที่เป็นวาทะกรรม คือ พูดว่าไม่ร่วมทุนเทา แต่หันไปหันมาไม่มีใครเป็นทุนเทา แล้วมาจากไหนแฉทุนเทาทุ่ม 500 ล้านซื้อพรรคนายชวน หลีกภัย อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การลงพื้นที่หาเสียงของ สส. ถ้าเดินหาเสียงอย่างเดียวไม่มีทางชนะ การจะสู้ได้ต้องให้ความจริงชี้ให้เห็นว่า การเมืองที่มาจากการใช้เงินเป็นต้นตอทุจริต จะอยู่ในวงจรอุบาทว์ ซื้อเสียงได้ สส.มาตั้งรัฐบาลก็โกง เอาเงินมาซื้อเสียงเวียนอยู่อย่างนี้ ต้องกล้าให้ความจริงประชาชน มีบางคนไปซื้อพรรคการเมือง 500 ล้านบาท ซื้อ สส. 50 ล้านบาท เงินพวกนี้มันหามาเองไม่ได้ ยกเว้นพวกต้มตุ๋น สแกมเมอร์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศชัดเจนไม่เอาการเมืองที่มาจากระบบนี้ เราต้องไม่ทำเรื่องทุจริต แทรกแซงองค์กรเลือกตั้ง แทรกแซง สว. ไม่ใช่การเมืองสุจริต ขอย้ำว่าผู้สมัครต้องบอกความจริงประชาชน ถ้าไม่พูด จะไม่ชนะ ถ้าไม่พูดก็ไม่มีวันได้ อยากเกือบตก หรือเกือบได้ ต้องทำงานหนัก ใครไม่ทำงานหนัก ไม่มีวันได้ กระแสพรรคดีขึ้นมาจริง แต่ไม่ขนาดท่วมท้น ใครอยากเป็น สส.ต้องทำงานหนัก สัปดาห์มี 7 วัน ควรหาเสียงสัปดาห์ละ 14 วัน เพิ่มเป็น 2 เท่า“บิ๊กป้อม” บอกอายุ 80 พอแล้วที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดให้อวยพรปีใหม่ หลังจากประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ ท่ามกลางกระแสข่าวเตรียมวางมือทางการเมือง มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต รมว.มหาดไทย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีต รมช.กลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.วลิต โรจนภักดี อดีตรอง ผบ.ทบ. เข้าร่วมรับพรปีใหม่ โดย พล.อ.ประวิตรสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว พูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเอง อวยพรผู้มาร่วมงานให้มีความสุขวันปีใหม่ เมื่อมีคนแซวว่า ยังดูหนุ่ม แข็งแรง พล.อ.ประวิตร ตอบกลับว่า หนุ่มอะไร อายุ 80 ปี พอแล้วการันตี “ลุงป้อม” ยังไม่ทิ้งพรรคน.ส.ตรีนุช เทียนทอง เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกฯพรรคพลังประชารัฐว่า พวกเราเป็นนักการเมือง ระหว่างทางอาจมีทางลุ่มๆดอนๆ คลื่นพายุบ้าง แต่จุดยืนคือ ต้องทำงานต่อไป เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐยังไปต่อได้หรือไม่ น.ส.ตรีนุชตอบว่า เราพร้อมที่จะอยู่ด้วยกัน ขณะที่ พล.อ.ประวิตรยืนยันว่า ยังอยู่กับพรรคไม่ปล่อยมือ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ พล.อ.ประวิตรอยากให้โอกาสทุกคนในพรรคมีโอกาสคิด ทำงานให้ประเทศ แม้จะอยู่เบื้องหลัง แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจะเป็นกำลังความคิด และเป็นผู้ใหญ่ที่ให้คำปรึกษาอยู่ มีข่าวปล่อยออกมาเยอะแยะไปหมด แต่ไม่อยากจะให้ข่าวอะไรมาก ขอทำระบบในพรรคให้เรียบร้อยก่อน ส่วนตัวเลขว่าที่ผู้สมัคร สส. ยังสวิงอยู่บ้าง จากที่รับรองไป 200 กว่าคน เรื่องจำนวนคงไม่ใช่ประเด็น วันนี้เป้าหมายพรรคชัดเจนเราต้องมูฟออนอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่