ปี 2025 ถูกจารึกไว้ในฐานะปีที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์อย่างเต็มรูปแบบ มนุษย์เลิกตั้งคำถามเชิงเทคนิคว่า “AI ทำอะไรได้บ้าง” และหันมาถามคำถามที่ลึกและจริงจังกว่านั้นว่า “AI เข้าไปอยู่ในชีวิตเราแล้วลึกแค่ไหน และกำลังเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และการตัดสินใจของเราอย่างไร”จากเทคโนโลยีที่เคยถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมล้ำยุคเฉพาะกลุ่ม ปัญญาประดิษฐ์ได้ยกระดับสถานะขึ้นมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของโลกดิจิทัล เทียบชั้นอินเตอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และคลาวด์คอมพิวติ้ง เทคโนโลยีที่ผู้คนใช้งานทุกวันโดยแทบไม่รู้ตัวว่ามีระบบอัจฉริยะทำงานอยู่เบื้องหลังแทบทุกการตัดสินใจในปีเดียวกันนี้ สนามแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก ไม่ใช่ตลาดสมาร์ทโฟน ไม่ใช่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หากแต่เป็นสงคราม AI ระหว่างสองขั้วอำนาจอย่าง โอเพ่นเอไอ (OpenAI) และกูเกิล (Google) ซึ่งต่างฝ่ายต่างเร่งสะสมอำนาจทางเทคโนโลยี แลกหมัดกันอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นการแข่งขันเชิงโครงสร้าง มากกว่าการวัดกันเพียงความเร็วในการเปิดตัวฟีเจอร์จากแชตบอตสู่ “ยูทิลิตี้ดิจิทัล”ช่วงต้นปี OpenAI ยังคงครองความได้เปรียบด้านภาพลักษณ์ ChatGPT กลายเป็นเครื่องมือประจำวันของผู้ใช้หลากหลายอาชีพ ตั้งแต่นักเรียน นักข่าว โปรแกรมเมอร์ ไปจนถึงผู้บริหารองค์กร และเริ่มถูกมองว่าเป็น “ยูทิลิตี้ดิจิทัล” หรือเครื่องมือดิจิทัลอรรถประโยชน์ที่ขาดไม่ได้ในกระบวนการทำงานโมเดลตระกูล GPT โดยเฉพาะ GPT-4o ถูกนำไปใช้งานจริงในระดับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการร่างเอกสารและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ไปจนถึงสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ จุดแข็งสำคัญของ OpenAI คือการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ที่เข้าใจง่าย การสื่อสารที่เป็นธรรมชาติ และความสามารถในการทำให้เทคโนโลยีซับซ้อนกลายเป็นเครื่องมือที่คนทั่วไปเข้าถึงได้OpenAI จึงไม่ได้ชนะเพียงด้านเทคนิค แต่ชนะในเชิง “ความใกล้ชิดกับมนุษย์” ทำให้ AI ถูกยอมรับในฐานะผู้ช่วยคิด มากกว่าระบบอัตโนมัติที่เข้าใจยาก Google เร่งเครื่อง ปกป้องอาณาจักรเดิมในอีกฟากหนึ่ง Google เลือกเดินเกมที่ต่างออกไป ตลอดปี 2025 บริษัทเร่งปล่อยฟีเจอร์และอัปเดต AI อย่างต่อเนื่องด้วยความตระหนักว่าหากปล่อยให้ Search แบบดั้งเดิมสูญเสียบทบาท AI อาจเข้ามาแทนที่แกนหลักของโมเดลธุรกิจในอนาคตอันใกล้หัวใจของกลยุทธ์นี้คือ Gemini โมเดล AI ที่ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นเพียงแชตบอต แต่ถูกวางตำแหน่งเป็นแกนกลางของบริการทั้งหมดในอีโคซิสเต็ม Google ตั้งแต่ Search, Gmail, Google Docs ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ AndroidGemini ได้เริ่มเปิดให้บริการในปี 2023 รุ่นต่างๆตั้งแต่ 1, 1.5, 2 และ 2.5 ถูกพัฒนาให้รองรับงานจริง โดยเฉพาะความสามารถในการเข้าใจบริบทขนาดใหญ่ วิเคราะห์เอกสาร วิดีโอ และโค้ดจำนวนมากได้ในคราวเดียว สะท้อนชัดว่า Google ไม่ได้แข่งกันที่ “ใครฉลาดกว่า” หากแต่แข่งกันที่ “ใครฝัง AI เข้ากับชีวิตประจำวันได้แนบเนียนกว่า”ความได้เปรียบเชิงโครงสร้างของ Google คือฐานผู้ใช้กว่า 3,000 ล้านคนทั่วโลกที่ใช้งาน Gmail, Google Docs, Search และ Android อยู่แล้ว AI จึงถูกฝังเข้า ไปในกิจกรรมประจำวันโดยไม่ต้องขอให้ผู้ใช้เรียนรู้สิ่งใหม่การเขียนเอกสารมี AI ช่วยร่าง, การอ่านอีเมลมี AI ช่วยสรุป, การประชุมมี AI ช่วยบันทึกและสกัดประเด็นการค้นหาไม่ใช่แค่ลิงก์ แต่เป็นคำตอบเชิงบริบทผลลัพธ์คือ AI กลายเป็นกลไกเบื้องหลังที่ทำงานอย่างแนบเนียน จนผู้ใช้จำนวนมากแทบไม่รู้ตัวว่ากำลังพึ่งพาระบบอัจฉริยะอยู่ตลอดเวลาเครื่องมืออย่าง NotebookLM สะท้อนทิศทางใหม่ของ AI เมื่อระบบสามารถเรียนรู้จากข้อมูลเฉพาะของผู้ใช้เอง ช่วยอ่าน วิเคราะห์ และสังเคราะห์องค์ความรู้ ขณะที่ Opal คือการผลักดัน AI เข้าสู่ระดับองค์กร เพื่อทำงานแทนมนุษย์ในกระบวนการซ้ำๆAI จึงเริ่มถูกมองเป็น “แรงงานดิจิทัล” ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปลี่ยนโครงสร้างตลาดแรงงานในระยะยาวล่าสุดได้แนะนำ Gemini 3 Pro ตัวล่าสุดในสายประสิทธิ ภาพสูง พร้อมกับ Nano Banana Pro เป็นเครื่องมือสร้างภาพ AI ขั้นสูง ซึ่งได้ถูกตอบรับทันทีจากผู้ใช้OpenAI กับความได้เปรียบเชิงคุณภาพและรายได้กลางปี OpenAI เปิดตัว GPT-5 ซึ่งยกระดับความสามารถด้าน Reasoning อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในงานโค้ด กฎหมาย และการวิเคราะห์เชิงตรรกะขั้นสูง พร้อมเปิดตัว Sora โมเดลวิดีโอคุณภาพสูงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา OpenAI เสริมความแข็งแกร่งด้วยการอัปเดต ChatGPT5.2 และ GPT-Image 1.5 ที่เน้นคุณภาพการใช้งานจริง และการเปิด GPT Store เพื่อสร้างระบบนิเวศนักพัฒนา แม้เส้นทางนี้ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ แต่สะท้อนชัดว่า OpenAI ไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงผู้พัฒนาโมเดลอีกต่อไปที่สำคัญ OpenAI เป็นผู้เล่นรายแรกที่สามารถแปลง AI เป็นรายได้จากผู้บริโภคโดยตรงได้อย่างเป็นรูปธรรม ภายใน 31 เดือนหลังเปิดตัว Chat-GPT สร้างรายได้สะสมกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี 2025 เพียงปีเดียว คาดการณ์ว่าจะทำรายได้สูงถึงระหว่าง 10,000-12,700 ล้านดอลลาร์ฯรายได้หลักมาจากค่าสมาชิก ทั้ง Chat-GPT Plus ราคา 20 ดอลลาร์ฯต่อเดือน และแพ็กเกจ Pro ระดับ 200 ดอลลาร์ฯต่อเดือน ขณะเดียวกัน OpenAI ยังมีศักยภาพต่อยอดสู่รายได้จากโฆษณา และ App Store ภายใน Chat-GPT ซึ่งจะยกระดับแพลตฟอร์มจากเครื่องมือไปสู่ตลาดเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบโมเดลรายได้จากค่าสมาชิกสะท้อนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงต้นทุนเทคโนโลยี แต่กำลังกลายเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคยินดีจ่ายเพื่อคุณค่าที่จับต้องได้ปี 2025 จึงไม่ใช่ปีแห่งชัยชนะของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นปีที่ AI ก้าวจากเครื่องมือ สู่แพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์ และกำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกดิจิทัลแต่ไฮไลต์ของปีไม่ใช่เรื่องทางเทคนิค หากแต่เป็นสงครามศักดิ์ศรี ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ Google และ OpenAI ที่ต่างฝ่ายต่างงัดไม้ตายออกมาแลกหมัดกันแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ จนเกิดสภาวะ Stalemate หรือการคุมเชิงที่กินกันไม่ลงในท้ายที่สุด.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทความไซเบอร์เน็ต” เพิ่มเติม