นายอนุกูล ปีดแก้ว อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ในปี 2565 พส.ได้ปรับเพิ่มเงื่อนไขผู้ประสบปัญหาทางสังคม และขอรับความช่วยเหลือเงินสงเคราะห์ 3,000 บาทต่อครั้ง ได้ไม่เกิน 3 ครั้งต่อปี เช่น ผู้รับเงินช่วยเหลือต้องดูแลสุขภาพ อย่างการพบแพทย์ตามนัด ในกลุ่มที่ว่างงานต้องขึ้นทะเบียนคนว่างงาน เข้าร่วมฝึกอาชีพ เป็นต้น จะไม่ใช่เป็นการให้เงินเปล่าๆแล้วจบไป เนื่องจากมุ่งหวังให้ผู้รับความช่วยเหลือได้พัฒนาศักยภาพตัวเอง เพื่อสามารถยืนด้วยตัวเองได้ในอนาคต โดยมีนักสังคมสงเคราะห์คอยให้คำปรึกษาและติดตามหลังการช่วยเหลืออธิบดี พส. กล่าวอีกว่า การเพิ่มเงื่อนไขดังกล่าวเป็นการให้อย่างมีเป้าหมาย ตามข้อมูลระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า หรือ TPMAP (ทีพีแมพ) ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมพัฒนากับภาคีเครือข่าย ได้ชี้เป้าคนไทยผู้มีรายได้น้อยระดับวิกฤติ ปัจจุบันมี 7 หมื่นกว่าครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีภาวะพึ่งพิงสูง เช่น ในครอบครัวมีเด็กเล็ก หรือมีคนพิการ มีคนสูงอายุ 2 คนขึ้นไป เป็นกลุ่มที่จะจัดสรรเงินสงเคราะห์เป็นกลุ่มแรกๆ พร้อมนำพาให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการต่างๆ รวมถึงเรื่องการศึกษา ที่อยู่อาศัย สุขภาพ และรายได้อาชีพ รองลงมาเป็นการช่วยเหลือกลุ่มที่อยู่คนเดียวแต่ประสบภาวะยากลำบาก และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี จะพิจารณาช่วยเหลือเป็นลำดับถัดไป.