ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง “หมอนิ่ม” คดีจ้างวานฆ่า “เอ็กซ์ จักรกฤษณ์” อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทยส่วนแม่หมอนิ่ม ศาลเห็นใจกระทำผิดเพราะเครียดที่ลูกสาวถูกทำร้าย ตกอยู่ในความทุกข์สาหัส ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 25 ปี มือปืนและคนขี่จักรยานยนต์ โดนจำคุกตลอดชีวิต ส่วนทนายอี๊ดโดนประหารชีวิต และร่วมกันชดใช้เงิน 2.5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีศาลฎีกาพิพากษาจำคุกแม่หมอนิ่ม บงการฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ อดีตนักแม่นปืนทีมชาติ เปิดเผยขึ้น เมื่อวันที่ 8 ต.ค. มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 12 พ.ค.64 ศาลอาญามีนบุรีอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีฆ่า จ.ส.อ.จักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อายุ 40 ปี อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติ ที่อัยการศาลจังหวัดมีนบุรี และนายมานพ นางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม บิดามารดา ร่วมเป็นโจทก์ฟ้อง นายจีรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย อายุ 50 ปี มือปืน จำเลยที่ 1 น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา อายุ 79 ปี มารดา พญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม จำเลยที่ 2 พญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม ภู่เจริญยศ อายุ 45 ปี จำเลยที่ 3 นายสันติ หรือทนายอี๊ด ทองเสม อายุ 35 ปี คนติดต่อมือปืน จำเลยที่ 4 และ นายธวัชชัย หรืออ้น เพชรโชติ อายุ 38 ปี คนขี่รถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 5 ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จ้างวานฆ่าผู้อื่นฯ พ.ร.บ.อาวุธปืน ขณะที่นางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม มารดานายจักรกฤษณ์ยื่นคำร้อง ขอให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 4.4 ล้านบาทด้วยอัยการฟ้องว่า เดือน ส.ค.- 19 ต.ค.56 จำเลยที่ 2-4 ร่วมกันจ้างวานจำเลย 1 กับพวกที่หลบหนีใช้ปืนยิงนายจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม อายุ 40 ปี ตามร่างกายหลายนัด ขณะอยู่บนรถยนต์ปอร์เช่สีดำ ทะเบียน บส 223 กรุงเทพมหานคร เสียชีวิตหน้าวัดบางเพ็งใต้ ซอยรามคำแหง 166 แขวงและเขตมีนบุรี กทม. ก่อนหลบหนี ชั้นสอบสวนและชั้นศาล พญ.นิธิวดี น.ส.สุรางค์ มารดา และนายสันติ ทนายความ ให้การปฏิเสธต่อมาวันที่ 19 ธ.ค.59 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีมีมูลจากความขัดแย้งในครอบครัว จำเลยที่ 1 รับว่า รับงานมาจากจำเลยที่ 4 แล้วแบ่งเงินค่าจ้างกับจำเลยที่ 5 คนละหนึ่งแสนบาท พยานโจทก์มีหลักฐานการติดต่อกันอย่างผิดสังเกตจากกลุ่มจำเลย และเป็นบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ ฟังว่าจำเลยที่ 3 บงการฆ่าผู้ตาย พิพากษาจำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 1 กับ 5 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 แต่ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 และให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3-5 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 2.5 ล้านบาทแก่ผู้ร้องด้วย ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ พญ.นิธิวดีประกันตัว ตีราคาหลักประกัน 2.5 ล้านบาทระหว่างอุทธรณ์ ขณะเดียวกันทั้งโจทก์และจำเลยต่างยื่นอุทธรณ์ต่อมาวันที่ 7 ส.ค. 61 ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า พยานให้การว่า หมอนิ่มจำเลยที่ 3 ยังคงมีความรักความผูกพันกับผู้ตายและลูก ไม่มีเหตุฟังว่าจำเลยที่ 3 จะบงการฆ่าผู้ตาย แก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 แต่ให้ประหารชีวิต น.ส.สุรางค์ มารดา จำเลยที่ 2 ฐานใช้จ้างวานให้ฆ่าผู้ตาย เนื่องจากศาลเห็นว่า น.ส.สุรางค์โกรธแค้นที่ผู้ตายมักทำร้ายร่างกายหมอนิ่ม บุตรสาวคนเดียว และทำร้ายหลานสาวบาดเจ็บหลายครั้ง เชื่อว่าผู้ตายไม่สามารถแก้ไขพฤติกรรมได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 แต่ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 2 แต่คำให้การเป็นประโยชน์คงลดโทษเหลือจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต และให้จำเลยที่ 1, 2, 4 (หนี) และ 5 ร่วมกันชดใช้เงิน 2.5 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้ กับโจทก์ร่วมและผู้ร้องด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาศาลอนุญาตให้ น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 ปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ตีราคาประกัน 1 ล้านบาทอัยการโจทก์ร่วมและนายจีรศักดิ์ หรือจี มือปืนจำเลยที่ 1 และ น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 เท่านั้นที่ยื่นฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ต่อสู้ในประเด็นการขอร่วมกับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2.5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย จนกว่าจะชำระเสร็จให้กับโจทก์ร่วมและผู้ร้องนั้นฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมชดใช้ตามจำนวนดังกล่าวนั้นชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย และฎีกาข้ออื่นที่ต่อสู้ประเด็นการรับฟังคำให้การพยานที่มาลงโทษจำเลย ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยส่วนพฤติการณ์การกระทำผิดของ น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 แม่ยายผู้ตาย ศาลฎีกาเห็นว่าเกิดจากการที่ผู้ตายกระทำต่อ พญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 บุตรคนเดียวของจำเลยที่ 2 ครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งยังกระทำต่อหน้าหลานเล็กๆของจำเลยที่ 2 อีก อันเนื่องมาจากปัญหาการควบคุมอารมณ์ของผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุมีความไม่แน่นอนว่า ผู้ตายเป็นนักกีฬายิงปืน อาจใช้ปืนของตนกระทำต่อจำเลยที่ 3 และครอบครัวในขณะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็เป็นได้ เพราะก่อนเกิดเหตุ 2 เดือน ยังใช้ปืนยิงไปทางคนรับใช้และบุตรคนเล็ก จนถูกจับและถูกควบคุมตัวที่เรือนจำ เพิ่งได้รับการประกันตัวมาไม่นานการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ที่ขณะเกิดเหตุเป็นหญิงมีอายุถึง 72 ปี บัดนี้อายุเกือบ 80 ปีแล้ว ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงเข้าลักษณะที่ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ที่ศาลอาจลดโทษได้ให้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 ในการลดโทษประหารชีวิตไม่ว่าจะเป็นการลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษ ให้ลดดังต่อไปนี้ โดยถ้าจะลดกึ่งหนึ่งให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปีถึง 50 ปี ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้ น.ส.สุรางค์ เพียงหนึ่งในสามและคงจำคุกตลอดชีวิตด้วยเหตุเพียงคำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย เห็นควรลดโทษให้อีกศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของ น.ส.สุรางค์เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา และกระทำความผิดเพราะตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงลงโทษจำคุกจำเลยไว้ที่ 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ทั้งนี้ แม้จะอ่านคำพิพากษาไปนานแล้วแต่ฝ่ายโจทก์ร่วม จำเลย ยังไม่มาขอออกหนังสือสำคัญคดีถึงที่สุด จนบัดนี้โจทก์ร่วมยังไม่ได้มาขอคำบังคับทางแพ่งเพื่อยึดอายัดทรัพย์มาใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาที่ให้ใช้เงิน 2.5 ล้านบาทแต่อย่างใด