ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวในการประชุมคณะกรรมการการพัฒนาและขับเคลื่อนย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (Yothi Medical Innovation District) หรือ YMID ครั้งที่ 3/2563 ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของ อว. ในการขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรมโดยอาศัยจุดแข็งของแต่ละพื้นที่และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ว่า ได้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง หรือที่เรียกว่า innovation district ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์ทุกแขนงมาเชื่อมโยงกับจุดแข็งของภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมดังนั้น ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID) บริเวณถนนพญาไท ราชวิถี ศรีอยุธยา และพระรามหก เป็นพื้นที่ที่มีสถาบันการแพทย์และสาธารณสุขหนาแน่นที่สุดของประเทศไทย มีโรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์ภายใต้ อว. โดยเฉพาะของมหาวิทยาลัยมหิดลเกือบสิบแห่ง มีโรงพยาบาลและสถาบันของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อีก 7 แห่ง มีของกองทัพบก หน่วยงานของภาคเอกชน องค์การเภสัชกรรม มีโครงสร้างพื้นฐานเกือบครบถ้วน มีความพร้อมด้านอาคารสถานที่ ด้านบุคลากร และความสามารถในด้านนวัตกรรม ดังนั้น อว.จะยกระดับเป็นเขตนวัตกรรมที่จะทำให้ความสามารถด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทยแข็งแกร่งขึ้นรมว.อว.กล่าวต่อว่า โครงการ YMID ได้ดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่ง เริ่มเห็นผลสำเร็จในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน วิชาการและอุตสาหกรรม เกิดความไว้วางใจ นำไปสู่การสร้างผลงาน ร่วมกัน เช่น การพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัย การผลิตชุด PPE การวิจัยยาและวัคซีน รวมทั้งการใช้มาตรฐานจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ร่วมกัน และการเชื่อมโยงการบริการและรักษาโรคระหว่างโรงพยาบาลต่างๆของ อว.สธ. กองทัพ และเอกชน ตนจะผลักดันให้ย่านนวัตกรรมทางการแพทย์โยธีเป็นย่านการวิจัยพัฒนาและบริการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ดีที่สุดระดับภูมิภาคและระดับโลก และเร่งนำการวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ได้จริงตามความต้องการของประเทศ โดยตนจะไปปรึกษากับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สธ.ต่อไป“ไม่มีอะไรที่จะดีใจมากไปกว่าคน อว. เพื่อนร่วมงานของเรา คิดค้น คิดสร้าง ประดิษฐ์ หรือทำนวัตกรรมอะไรได้สำเร็จ ใช้งานได้จริง และเป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 เห็นได้ชัดว่ามีนวัตกรรมการแพทย์โดยคนไทยเกิดขึ้นมากมาย เช่น การวิจัยนวัตกรรมชุดป้องกันการติดเชื้อสำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ หรือ ชุด PPE แบบที่ซักล้างได้ ซึ่งคนไทยวิจัยและพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว มีมาตรฐานและความปลอดภัย จนสามารถผลิตได้ในระดับอุตสาหกรรมในราคาเหมาะสม เพียงพอใช้ในประเทศและส่งออกได้” ศ.ดร.เอนกกล่าว.