เครียดหดหู่ไม่กล้าออกบ้านหนุนปิดประเทศศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน เปิดเผยผลสำรวจการรับรู้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กับสุขภาวะของเยาวชน สำรวจวันที่ 12-16 มี.ค.63 จำนวน 371 จากทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชนอายุระหว่าง 18-24 ปี ผลสำรวจพบว่าเด็กและเยาวชนมีความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สรุปได้ 5 ประเด็น ส่วนใหญ่ร้อยละ 33 กังวลว่าตนจะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ร้อยละ 22 กังวลว่าจะแพร่เชื้อระหว่างคนในประเทศ อันดับสาม 18 กังวลต่อมาตรการควบคุมและดูแลการระบาดของรัฐ อันดับสี่ ร้อยละ 16 กังวลต่อสุขอนามัยส่วนบุคคล และอันดับที่ห้า ร้อยละ 11 กังวลเรื่องการกักตุนหน้ากากอนามัยศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ด้านการรับรู้ข่าวสารส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของเด็กและเยาวชน พบว่า ส่งผลกระทบต่อจิตใจเป็นอับดับหนึ่ง ได้แก่ เครียด หดหู่ หงุดหงิด และหวาดระแวงไม่กล้าเดินทางออกจากบ้านและใช้ขนส่งสาธารณะ รองลงมาคือผลกระทบต่อสุขภาวะทางสังคมคือ เกิดความหวาดระแวงในหมู่ประชาชนเรื่องสุขอนามัยในพื้นที่สาธารณะ การแห่ซื้อหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และการกักตุนอาหารแห้ง อันดับสามผลกระทบต่อร่างกาย คือ ร่างกายอ่อนแอเนื่องจากความเครียดจากการรับข่าวสาร ไม่สามารถออกไปออกกำลังกายตามฟิตเนส หรือสวนสาธารณะได้เหมือนเดิม อันดับที่สี่ผลกระทบต่อปัญญา คือ ต้องรู้เท่าทันข่าวปลอม และเลือกรับและส่งต่อข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น ไม่ตื่นตระหนกและเสพข่าวสารอย่างมีสติ สำหรับวิธีการป้องกันตนเอง คือ ใส่หน้ากากอนามัย พกเจลแอลกอฮอล์ หลีกเลี้ยงพื้นที่เสี่ยง และล้างมือให้สะอาด “เมื่อถามถึงมาตรการที่อยากให้เกิดขึ้นเพื่อควบคุมสถานการณ์เรียงลำดับ 3 มาตรการแรก คือ 1.ปิดประเทศ/ปิดรับนักท่องเที่ยวชั่วคราว 2.มีการตรวจหาเชื้อไวรัสได้ฟรี และ 3.การแจกอุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสำรวจได้ให้คะแนนการทำงานของรัฐบาลกับมาตรการรับมือไวรัสโควิด-19 โดยมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.89 จาก 10 คะแนนเต็ม สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อมาตรการการรับมือของภาครัฐ” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว.