วันนี้ต้องกลับมาว่ากันต่อในเรื่องความเชื่อ “ไสยศาสตร์” ที่อยู่คู่ทุกยุคสมัย มีหลักฐานถูกบันทึกไว้...เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 1 พันกว่าปีที่แล้ว ตามศิลาจารึกระบุไว้ถึง...พราหมณ์ชั้นผู้ใหญ่ ประจำราชสำนัก ต้องเรียนคัมภีร์อาถรรพณ์เวทของศาสนาพราหมณ์ ในการประกอบพิธีตามความเชื่อของเขมรโบราณสมัยนั้นเดิมตัวอักษรคัมภีร์อาถรรพณ์เวทของศาสนาพราหมณ์นี้ถูกจารึกเป็นภาษาสันสกฤต...ปัจจุบันตัวอักษรในคัมภีร์กลับถูกเขียนเป็น “ภาษาบาลี” หรือ “ภาษาเขมร” กลายเป็นว่า...ตัวคาถาอาคมมีการดัดแปลง...เปลี่ยนใหม่หรือเพิ่มเติม แตกต่างจากเดิมด้วยและถามว่า...“อักขระ” และ “คาถาอาคม” ยังมีความขลังเช่นเดิมหรือไม่ ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำวิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร ได้ทำวิจัยไสยศาสตร์เบื้องต้น บอกว่า ในตัว “ไสยศาสตร์” หรือ “คาถาอาคม” มีความหมายเพียง “ตัวจับหรือสื่อ” การสร้างกระบวนการให้เกิดเป็นความเชื่อในอำนาจนอกตัว หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์...ที่มาจากการใช้หลักของ “พลังจิต” และ “พิธีกรรม” มาเป็นตัวเชื่อมให้เกิด “อิทธิฤทธิ์” ที่เรียกกันว่า “การสะกดจิตบุคคล” ดังนั้น ไม่ว่า ไสยศาสตร์ภาคไหน หรือประเทศใดก็ตาม มักมีรูปแบบนี้...มีลักษณะสร้าง...“ความเชื่อ” ให้เกิดในสังคมคนหมู่มาก แต่ไม่กล้าพูดว่า...เป็นพฤติกรรมของอุปาทานหมู่ ตัวอย่าง...อีสานใต้ มักประกอบพิธี “เข้าทรง” หรือ “ร่างทรง” ที่เคยศึกษาปรากฏว่า...ร่างทรงต่างยอมรับว่า ...ตัวเองมีองค์ประทับร่างจริง แต่ชาวต่างชาติกลับไม่รู้ว่า...มีองค์จะมาประทับลงร่างได้หรือไม่ในอดีต...“คนโบราณ” มีจุดอ่อนเรื่อง “ความกลัว” ไม่ว่าจะกลัวความมืด กลัวฟ้า ต้องมี “วัตถุคุ้มครองภัย” หรือวิชาอาคมยึดเหนี่ยวใจ...บางเหตุการณ์ไม่สบายใจ เป็นทุกข์กังวลใจ ก็ใช้ไสยศาสตร์ช่วยเหลือได้สิ่งที่นิยมมาก...เครื่องป้องกันอันตราย ทั้งตะกรุด ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ กลุ่มนี้เป็นไสยศาสตร์ความดีงาม เพราะการปลุกเสกศัสตราวุธทั้งหมดนี้ ให้เกิดความขลังได้ ต้องเป็นผู้ปฏิบัติศีลธรรมเคร่งครัดแต่ก็มี “ไสยศาสตร์มนตร์ดำ”...คือ การเรียนวิชาอาคมทางลัด มีเรื่องความชั่วร้ายแฝงอยู่ในตัว มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายให้ผู้อื่น ได้รับความทุกข์ จนอาจถึงแก่ความตาย เช่น เสกกรรไกรเงิน กรรไกรทอง หรือหนังสัตว์เข้าท้อง ใช้วัวธนูทำร้ายคนอื่น ทำให้มีความน่าสนใจอย่างมาก...เคยตั้งใจเรียนรู้วิชาอาคมสายมนตร์ดำนี้ครั้งหนึ่ง แต่ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ท่านมีความรู้เชี่ยวชาญมนตร์ดำออกมาห้ามปรามไว้ เพราะเป็นศาสตร์ด้านมืด มีคำสาป ผู้ใดเรียนใน 1 ปี ไม่ปล่อยของออกไปทำร้ายคนอื่น จะทำให้มนตร์ดำย้อนกลับมาทำร้ายตัวผู้เรียนหรือครอบครัวให้ชีวิตไม่เป็นสุข จนมีผู้สืบทอดน้อยลง...ปัจจุบันนี้...ก็ยังมีการสอนไสยศาสตร์ ปฏิบัติบำเพ็ญเพียร หรือประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อกัน บนเขาพนมกุเลน จ.เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ซึ่งเคยถามชาวกัมพูชา ต่างมองว่าไสยศาสตร์ เวทมนตร์ แกร่งกล้าที่สุดอยู่ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ เมื่อย้อนมาสอบถามคนพื้นที่นี้กลับบอกว่า...ไสยศาสตร์ มนตร์ดำเขมรน่ากลัวที่สุดสาเหตุเพราะ...อักขระไสยศาสตร์ ถูกเขียนด้วย “ภาษาเขมร” ทำให้เชื่อว่า...ไสยศาสตร์เขมรแกร่งกล้าที่สุด แต่เคยให้ผู้มีวิชาสาธิตเสกหนังสัตว์เข้าท้องคนอื่น กลับถูกปฏิเสธ...ทำให้ไม่ค่อยเชื่อมากนัก และมองว่าเป็นการบังคับ “จิต” เกี่ยวเนื่อง “โหราศาสตร์” ในเรื่องดวงดี ดวงตก นำมาผูกมัดผสมผสานกันมากกว่าทำให้มองว่า...ปัจจุบันการประกอบพิธีเกี่ยวกับมนตร์ดำ คงหลงเหลือเพียงเศษเสี้ยว...รูปแบบเชิงสัญลักษณ์...ส่วนตัวความเชื่อ...ความศักดิ์สิทธิ์ คงไม่เหมือนเดิม เพราะวิชามนตร์ดำ มีเงื่อนไขข้อห้ามปฏิบัติมากมาย เช่น ห้ามเดินลอดของต่ำ ในยุคนี้กลับมีสะพานลอยอยู่ทุกพื้นที่ มีผู้ชายและผู้หญิงเดินข้ามขึ้นสะพานลอยมากมายดังนั้น คนเรียนวิชาอาคมนี้เพียงนั่งรถยนต์ลอดใต้สะพานลอย ก็ทำให้ของเสื่อมลงแล้วทว่า...การเรียน “มนตร์ดำ” ในแต่ละสำนักมีครูเป็นผู้ชี้นำทาง แต่ยุคนี้ของจริงค่อนข้างหายาก...เสมือนพระเครื่อง ในอดีตมีความศักดิ์สิทธิ์จริง เพราะเกจิอาจารย์ผู้ลงมือปลุกเสกเขียนอักขระด้วยตัวเอง มีการตั้งจิตภาวนาใส่คาถาอาคมหรือพลังจิตลงในวัตถุมงคลตอนนี้พระเครื่องทำแบบง่ายๆ ใช้เครื่องปั๊มสำเร็จรูป มีพระเกจิอาจารย์จับ ตั้งจิตอธิษฐานเล็กๆน้อยๆ ทำให้ความเข้มขลังแบบดั้งเดิมคงเป็นไปได้ยาก กลายเป็นออกไปในทางเชิง “ธุรกิจพาณิชย์” เป็นส่วนใหญ่ในแง่มุมเชิงนักวิชาการ...การใช้มนตร์ดำ คือเรื่องการใช้พลังจิต ส่วนสามารถใช้ทำร้ายคนอื่นจริงหรือไม่ ยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด เพราะไม่เคยเห็นด้วยตาชัดเจน แต่มีการบอกเล่าจากคนพื้นที่หรือพระสงฆ์ ก็ยืนยันว่า...เห็นด้วยตาสามารถใช้มนตร์ดำทำร้ายคนอื่นได้จริง“ในเรื่องนี้มองว่า...คนโบราณมีจุดประสงค์ใช้ไสยศาสตร์เป็นเครื่องมือควบคุมผู้คน...ควบคุมสังคมให้อยู่อย่างสงบ จากผู้มีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นที่มักชอบรังแกบุคคลด้อยกว่า จึงมีความคิดหาวิธี...ไม่ให้ผู้มีอำนาจสร้างความเดือดร้อน ด้วยการออก “กุศโลบาย” ใช้ไสยศาสตร์ วิชาอาคม มนตร์ดำนี้ขึ้นมา” ผศ.ดร.กังวล ว่า หากใครเรียน...ต้องมีเงื่อนไข ข้อห้าม ในการปฏิบัติ...ให้อยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติดี...ปฏิบัติชอบ ไม่ด่าพ่อล่อแม่ ผิดลูกผิดเมียคนอื่น...เพื่อสร้างกรอบข้อห้ามนี้ขึ้นมา มีความหมายเรื่องความดี หากปฏิบัติไม่ได้ ก็ทำให้คาถาอาคมเสื่อมลง ถือว่าเป็นเรื่องการดูแลจัดระบบสังคมให้เกิดความสงบมากกว่าเช่นเดียวกับ...“ไสยศาสตร์เมตตามหานิยม” ก็คือ “กุศโลบาย” ในการสอนให้พูดไพเราะอ่อนหวาน จะได้มีคนรัก คนชอบ เช่น หญิงชอบด่าสามี และคนโบราณให้อมน้ำมนต์ ทำให้ด่าสามีไม่ได้ ก็กลับมารักกันเช่นเดิม...หากในมุมทางพระพุทธศาสนา แสดงให้เห็นว่า “คนโบราณ” มีการใส่ “กุศโลบาย” สอดแทรกคำสอนลงในไสยศาสตร์ทุกรูปแบบ ส่วนเรื่องผลลัพธ์หรือพลังความขลัง อาจเป็นเรื่องของ “พลังจิต” เพราะมนุษย์มีความลึกลับของจิตใจที่ไม่เหมือนกัน แม้แต่ศาสนาพุทธก็ไม่ปฏิบัติในความลึกลับนี้ในศาสนาพุทธ...ก็มีความเชื่อในเรื่อง “อภิญญา” คือ “ความรู้ยิ่ง” หมายถึง ปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญา หรือบำเพ็ญกรรมฐาน กลายเป็นมีคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคล ซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ 6 อย่าง คือ...อิทธิวิธิ...แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้ ทิพพโสต...มีหูทิพย์ เจโตปริยญาณ...กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ...ระลึกชาติได้ ทิพพจักขุ...มีตาทิพย์ อาสวักขยญาณ...รู้การทำอาสวะให้สิ้นไปที่มีในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้อธิบายขั้นตอนการฝึกฝนนี้อย่างละเอียด...แต่พระพุทธเจ้า...ท่านห้าม เพราะเรียกว่า “เดรัจฉานวิชา” ซึ่ง “เดรัจฉาน” ไม่ใช่คำไม่สุภาพ มีความหมายว่า “ขวาง” เช่น สัตว์เดรัจฉาน คือ จำพวกสัตว์ 4 เท้า ยืนลักษณะขวาง ไม่ใช่ยืนเหมือนมนุษย์โดยพระพุทธเจ้ามองว่า “อภิญญา” เป็นการขวางทางไม่ให้เจริญจิตสูงขึ้นเรื่อยๆ...เพราะผู้ปฏิบัติ “อภิญญา” สามารถแสดงฤทธิ์ ล่องหน เหาะ ดำดินได้ มักมีผู้คนเลื่อมใสศรัทธา เกิดความพึงพอใจเพียงแค่เท่านั้น ทำให้การอบรมจิตเจริญปัญญา หรือบำเพ็ญกรรมฐาน ไม่สูงขึ้นอีกได้ ทั้งที่ยังสามารถบำเพ็ญกรรมฐานให้บรรลุถึงขั้นสูงสุดได้ยุคนี้...“ไสยศาสตร์ขาว” หรือ “ไสยศาสตร์มนตร์ดำ” คงเหลือเฉพาะเพียงในรูปแบบคล้ายกับประเพณี...ในการสืบทอดรูปแบบคงไว้มากกว่าการเข้าถึงเนื้อในบริบทจริง และคนยุคนี้ก็ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนโบราณที่สร้างขึ้นไว้ อย่างเช่น พระเครื่องมีไว้ป้องกัน แต่กลับมองในเรื่องโชคลาภ ความร่ำรวยกลายเป็น “เชิงธุรกิจพาณิชย์” มีการโฆษณาชวนเชื่อ รูปแบบสร้าง “แบรนด์” เพื่อการค้า เช่นเดียวกับ “ไสยศาสตร์” ก็สร้างให้เกิดความเชื่อที่มีเบื้องหลัง เพราะเป็นมนุษย์สำเร็จรูป ต้องการสิ่งง่ายๆ เห็นผลทันตาไสยศาสตร์ คือ ศาสตร์ หรือความเชื่อทางจิตใจ แต่ด้วยคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ทำให้ต้องหันหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ฉะนั้นต้องเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองดีกว่า...สุดท้ายเรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำ หรือ “คนไม่ดี” มักพ่ายแพ้ “ความดี” หากหมั่นทำความดีอยู่เสมอ สิ่งไม่ดี...ก็ไม่สามารถทำอะไรกับคนทำดีได้แน่นอน.