เมื่อเกิดภัยใกล้เข้ามาถึงตัว ตามความเชื่อของคนไทยพุทธมาตั้งแต่สมัยโบราณ มักคิดถึง “พระ” ที่ต้องมีไว้ติดตัวคุ้มครอง ป้องกันภยันตราย โดยเฉพาะในการออก “ศึกสงครามของคนโบราณ” ย่อมมีเรื่องของพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคลเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ...ทำให้สมัยอาณาจักรอยุธยา...มีการสร้างพระพิมพ์ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล ความศักดิ์สิทธิ์ และดลบันดาลให้เกิดอานุภาพต่างๆ สำหรับพกเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เวลาไปสงคราม แทนการพกเครื่องรางแบบเก่า...ผ้ายันต์ที่ใช้ผูกแขน หรือคล้องคอ ตะกรุดพิสมรต่อมาเข้าสู่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ มีแนวคิดทางพุทธ สร้างพระพิมพ์ ใช้เป็นเครื่องรางของขลังที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เรียกว่า “พระเครื่อง” ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น...จนมาถึงยุคนี้ กลายเป็นทรัพย์สินเพิ่มมูลค่าราคาแพงที่ถูกกล่าวขานกันว่า มีพระบางองค์ราคาสูงถึง 50 ล้านบาทด้วยซ้ำเรื่องนี้มีอยู่จริงเท็จประการใดนั้น “สกู๊ปหน้า 1” มีโอกาสได้พูดคุยกับ ประกิต หลิมสกุล ผู้รู้เรื่องพระเครื่อง เล่าให้ฟังว่า ในสมัย ร.ศ.112 มีเหตุการณ์ ที่เรียกว่า Franco-Siamese War หรือ “สงครามฝรั่งเศส-สยาม” ทหารฝรั่งเศสได้นำเรือรบเข้ามาประชิดปิดปากอ่าวไทย พร้อมกับยิงปืนใหญ่ เข้าป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมปราการทางน้ำ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการเหตุการณ์ความขัดแย้งราชอาณาจักรสยามกับฝรั่งเศส ในสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ในปี พ.ศ.2436 จากการอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของประเทศลาวคราวนั้น...ประเทศไทย เตรียมพร้อมรบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งการจัดสรรอาวุธเต็มพิกัด ในจำนวนนั้นยังเตรียมพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง จัดทำพิธีปลุกเสกขึ้นตามวัดวาอารามต่างๆ มากมายและบางวัดก็ได้รับการร้องขอจากรัฐบาลให้พระเกจิช่วยปลุกเสกด้วยเช่นกัน ทำให้พระเครื่องคงหลงเหลือมาถึงทุกวันนี้และมีการขุดพระเครื่องถูกฝังไว้ตามใต้ฐานเจดีย์ ที่เรียกว่า “เปิดกรุ” ขึ้นมา...นำมามอบให้กับ “นักรบหรือทหารและชาวบ้านอาสาสมัคร ในการร่วมรบ” เพื่อเป็นการป้องกันภัยคุ้มครองตัวเอง โดยเฉพาะพระพิมพ์ หรือพระเครื่อง ถูกหยิบยกขึ้นมามากมาย กลายเป็น “เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล” ของคนไทยนับแต่นั้นเรื่อยมา...“สมัยก่อน...เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล นิยมสร้างให้มีรูปแบบขนาดเล็ก เพื่อให้สามารถจัดทำได้จำนวนมาก สำหรับบรรจุเข้าเก็บไว้ในเจดีย์ เพื่อว่าในอนาคต เมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมลง วัตถุต่างๆพังทลายยังสามารถพบรูปสมมติของพระพุทธเจ้า เพื่อแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา”ส่วนหนึ่งก็ใช้เป็นเครื่องราง ในการออกศึกสงครามของคนโบราณนี้ด้วย ที่เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง ปัจจุบันนิยมนำมาห้อยคอ เป็นเครื่องรางคุ้มครองป้องกันเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตตามความเชื่อปรัมปราของไทยหากถามถึงยุคก่อน ร.ศ.112 คงไม่ต้องกล่าวถึงกันมากนัก เพราะเรื่องพระเครื่อง คือความเชื่อ ศรัทธาทางไสยศาสตร์ที่มีการเล่าขานต่อกันมาแต่ครั้งโบราณกาล นั้นดูยากเกินจะอธิบาย...ยกตัวอย่าง “เหล็กไหล” ถูกแต่งเรื่องสมมติขึ้นกันเอง ตั้งแต่โบร่ำโบราณ ถูกเขียนไว้ในช่วงตอนหนึ่งในหนังสือนิทานมหากาพย์พื้นบ้าน “เรื่องขุนช้าง ขุนแผน” สันนิษฐานเคยเกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ถูกดัดแปลงเพิ่มเติมคล้ายนิทาน สะท้อนภาพการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมผู้คนในยุคนั้นสมัยนี้...วัตถุโบราณเหล็กไหลนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หรือค้นพบในแหล่งตระกูลแร่ชนิดใดมาก่อน แต่เป็นเพียงเศษหินตระกูลหนึ่ง และมีการสมมติกันขึ้นมาเท่านั้น...กลับมาสู่ยุคปัจจุบัน...ในหลักการเหตุผลเรื่อง “พระเครื่อง เครื่องราง ของขลัง” ที่เกิดมีมูลค่า (สมมติ) มาจากความต้องการ...เริ่มจากตัวบุคคลมีความเชื่ออย่างแรงกล้าตรงกัน และชื่นชอบพระที่มีประวัติเป็นที่ประจักษ์หลักฐานความเป็นมามากมาย และมีจำนวนน้อยองค์เท่าใด...ย่อมเป็นที่ต้องการมากเท่านั้นตามหลักเศรษฐศาสตร์ “ดีมานด์ ซัพพลาย” ก็มีความต้องการมากขึ้นยิ่งมีน้อย...ก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าราคาแพง หลักการเหตุผลนี้ยังถูกใช้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะ “พระเครื่อง” มีการซื้อขายกันในตลาดตั้งราคากันหลายสิบล้าน...แต่กว่าจะมีมูลค่าสูงถึงหลัก 30 ล้านบาท หรือสูงถึง 50 ล้านบาท เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ ต้องมีพื้นฐานแน่น...เกิดมาจากความเชื่อที่ชัดเจนของพระองค์นั้นด้วยขอยกตัวอย่าง...“พระสมเด็จวัดระฆัง” พระต้นแบบ เพื่อนำไปเทียบเคียงพระองค์อื่นให้สามารถมองเห็นภาพ หรือจินตนาการแทนการอธิบายในเรื่องการตั้งมูลค่าของพระเครื่องยุคนี้เรื่องน่าสนใจมีว่า...สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ที่พอมีหลักฐานชี้ให้เห็นว่า...มีการสร้างพระพิมพ์ขึ้นปี 2409 ก่อนมรณภาพ ในปี 2415 สมัยต้นรัชกาลที่ 5 ในช่วงนี้ “ชาวฝรั่ง” เริ่มเข้าประเทศสยาม พร้อมกับนำเอา “ศิลปะใหม่” ที่เรียกกันว่า “เรเนซองส์”ทำให้ช่างฝีมือระดับต้นๆประเทศสยามยุคนั้นรับอิทธิพลตื่นตาตรึงใจกับศิลปะแบบใหม่นี้ แม้ว่าตัวเองอยู่ในช่วงรัตนศิลปะยุคกลาง มีการประยุกต์เอาศิลปะของชาวฝรั่งเข้ามาผสมผสานมากมาย อีกทั้งสมเด็จพระพุฒา-จารย์ ผู้มีความรอบรู้ มีข้อน่าสนใจว่า...ท่านปฏิวัติการสร้างพระเครื่อง หรือพระพิมพ์ขึ้นใหม่ในสมัยโบราณมักสร้างพระพิมพ์ด้วยดินเผา หรือการสร้างด้วยโลหะผสม เช่น เนื้อชิน มีส่วนผสมตะกั่ว ดีบุก เพราะมีราคาถูก หรือการสร้างด้วยทองแดงผสม เรียกว่าเนื้อสัมฤทธิ์ หรือสำริด ส่วนรูปทรงศิลปะ มีความแตกต่างกันตามแต่ยุคสมัยที่สร้างกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลคำว่า “โบราณกาล” ที่พูดกันอย่างกว้างขวางอยู่นั้น มีหมายถึงยาวไปถึงยุค...สมัยทวารวดี อาณาจักรศรีวิชัย สมัยอู่ทอง มีทั้งพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระพิมพ์องค์ใหญ่ จนถึงพระพิมพ์องค์เล็ก มีการสร้างกันเป็นนัยตามความเชื่อ “มหายาน” ว่า คนสร้างพระพิมพ์ไว้ในช่วงยังมีชีวิตอยู่จะได้กลับมาเกิดใหม่อีก 4 ชาติฉะนั้น เศรษฐี คนมีเงิน เมื่อทำบุญมักต้องสร้างพระพิมพ์ขึ้นแล้วนำไปใส่เก็บไว้ในเจดีย์...ย้อนกลับมาที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ มีการสร้างพระพิมพ์แบบสี่เหลี่ยม ในการปฏิวัติรูปแบบใหม่ สิ่งแรกคือ วัสดุ มีการนำเม็ดปูนขาวที่โดดเดี่ยวเนื้อพระเกาะตัวแน่น มีการนำ “น้ำมันตังอิ๊ว” เข้าไปผสมด้วยนับแต่อดีตโบราณนานมา...ยังไม่เคยมีการสร้างพระเนื้อผงขาวใช้น้ำมันตังอิ๊วมาก่อน ที่ผ่านมามีเพียงเนื้อผงดิน เนื้อชิน และเนื้อสำริด ถือว่าเป็นการปฏิวัติศิลปะของชาวฝรั่งผสมผสาน...ในประการแรกประการที่สอง...ปฏิวัติศิลปะ ในเรื่องรูปแบบพระพิมพ์สี่เหลี่ยม ขนาดของพระกว้าง 2 เซนติเมตร สูง 3 เซนติเมตร ถือว่าเป็นสี่เหลี่ยมที่มีความงดงามลงตัวประการที่สาม...ในพระพิมพ์ เกิดปฏิวัติศิลปะ มีการนำรูปแบบแขนง “ซุ้มโกธิค” ลักษณะแบบครึ่งวงกลมมาผสมผสานกันประการที่สี่...แม่พิมพ์ ถูกแกะจากช่างทองหลวง ซึ่งมีความละเอียดงดงามมากที่สุดทั้งหมดเหล่านี้ล้วนได้อิทธิพลมาจากศิลป์ของชาวฝรั่ง ใช้ในการสร้าง “พิมพ์พระสมเด็จ วัดระฆัง” ในช่วงการสร้างพระพุทธอังคีรส วัดราชบพิธฯ พระนิรันตราย วัดราชประดิษฐ์ฯ จากช่างหมายเลขหนึ่งในยุคสมัยนั้น“พระสมเด็จ” จึงมีศิลปะนี้ผสมอยู่ ถือว่าเป็นตัวแทนงานศิลปะยุครัตนโกสินทร์ตอนกลาง ที่มีวัสดุ ศิลปะแปลกใหม่ อีกทั้งในสมัยนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ได้ชื่อเชื่อกันว่า มีวิชาอาคมที่มีความเข้มขลังที่สุด ทำให้พระสมเด็จมีประวัติที่มาชัดเจน และเป็นที่นิยมเก็บสะสม...นี่เป็นการปูพื้นองค์ความรู้ ที่มาของพระเครื่อง เครื่องราง เกิดจากความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ ความขลัง ในงานศิลปะโบราณชั้นสูง ถูกส่งต่อจากรุ่น...สู่รุ่น นำมาสู่กลายเป็นพระที่มีอนาคต...