ความอ่อนไหวและความสลับซับซ้อนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา สังคมวัฒนธรรม เชื่อมโยงความแตกต่าง “ศาสนา เชื้อชาติ” ของมลายูปัตตานี กลายมาเป็น “ชนวน” ถูกนำมา “ปลุกปั่น” จากกลุ่มบุคคล “หวังอำนาจ...การปกครอง” ใช้เป็นเครื่องก่อความรุนแรงสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่สงบ ส่งผลต่อความมั่นคง เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมากมาย...เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงการสูญเสียการปกครอง ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับอำนาจรัฐบาลไทยเงื่อนปมปัญหานำมาสู่จุดเริ่มต้นแนวคิด “พูดคุยเพื่อสันติภาพ” ระหว่างรัฐบาลไทย และ มาราปัตตานี ที่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มผู้เห็นต่าง...ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามใน “ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ” ที่มีรัฐบาลมาเลเซียเป็นตัวกลางประสาน“การพูดคุยเจรจา” ยังไม่เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ก็ต้องล้มเหลว หยุดชะงัก ยุติลงกลางคันเพราะความขัดแย้งทางการเมือง วันผ่านเวลาเปลี่ยนมาถึง...รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กลับมาหวนพูดคุยเรื่อง “พูดคุยเพื่อสันติสุข” อีกครั้งคราวนี้การตั้งโต๊ะรอบใหม่ ยังไม่มีวี่แวว หรือความชัดเจนจุดเป้าหมายเป็นรูปธรรม เพราะรัฐบาลไทยต้องการเจรจาระหว่าง “ผู้นำ” กับ “ผู้นำ” ไม่ใช่ “ตัวแทน” กับ “ผู้นำ”...เหมือนอดีตที่ผ่านมาการข่าวทางทหารในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาคณะเจรจาระหว่างรัฐไทยและกลุ่มผู้เห็นต่าง ที่มีขบวนการบีอาร์เอ็นด้วย ผ่านการพูดคุยแล้ว 2 ชุด ชุดแรก...เหมือนว่าฝ่ายบีอาร์เอ็น ถูกกดดันจากรัฐบาลมาเลเซีย ทำให้มีการส่ง “ตัวแทน” มาร่วมเจรจากับ “ฝ่ายคณะรัฐบาลไทย”ชุดที่สอง...รัฐบาลไทยเริ่มกลับมาพูดคุยเจรจาเพื่อสันติภาพอีก และ ฝ่ายบีอาร์เอ็น สร้างความเป็นตัวตนอุปโลกน์ “ผู้แทน” เข้าพูดคุยกับคณะเจรจารัฐบาลไทย ทำให้การเจรจาไม่เกิดผลลัพธ์ หรือล้มเหลวลง แต่การตั้งโต๊ะพูดคุยชุดที่ 3 นี้ ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ คณะเจรจาฝ่ายรัฐบาลไทย มุ่งระบุตัวบุคคลที่จะเข้ามาเจรจาครั้งนี้ ต้องเป็นระดับสั่งการสูงสุดตัวจริง คือ “สภาซูรอแห่งปัตตานี” หรือ “สภาที่ปรึกษา” ของกลุ่มบุคคลเห็นต่าง ที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นกำลังสร้าง “กลไกหลอก เล่นแง่กับเรา” มีการตั้งคณะเจรจาออกมาหลายคณะด้วยกัน“การข่าว” ทราบมาว่านับตั้งแต่ปี 2561 ขบวนการบีอาร์เอ็น ปรับโครงสร้างระดับผู้นำสูงสุดใหม่ทั้งหมด ผลมาจากรัฐบาลมาเลเซีย กดดันให้ผู้นำที่มีบทบาทตัวจริง 7-8 คน ออกมาเจรจากับฝ่ายรัฐบาลไทย ทำให้ผู้นำนี้ต้องสละตำแหน่งดึง “คนรุ่นใหม่” เป็น “นอมินี” เลื่อนตำแหน่งนั่ง “ผู้นำสูงสุด”ส่วน “ผู้นำคนเดิม” ขึ้นนั่ง “สภาที่ปรึกษาฯ” แต่ยังกุมอำนาจทั้งหมดไว้เช่นเดิมมองว่า...“สภาที่ปรึกษาฯ ใหม่” ที่ยังมีอำนาจสั่งการขบวนการบีอาร์เอ็นแท้จริง ไม่ต้องการออกมาเปิดเผยตัวตน เข้ามาเจรจากับคณะรัฐบาลไทย ทำให้ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์...ปรับโครงสร้างขบวนการ หวังให้คนรุ่นใหม่มาเจรจาแทนและยังเป็นข้ออ้าง...เรื่องการสละตำแหน่ง “ผู้นำ” หากถูกกดดันจากรัฐบาลมาเลเซีย“เมื่อใด...บุคคลในองค์กรลับ เปิดเผยตัวตน...ชื่อ เมื่อนั้นแสดงออกถึงการยอมแพ้ นั่นหมายความว่า...หากมีการนำตัวแทนเข้ามาเจรจา แสดงให้เห็นว่า บีอาร์เอ็นก็ยังไม่ยอมยุติก่อความไม่สงบ”ทำให้การพูดคุยเจรจาครั้งนี้มีความสำคัญ ทำให้ต้องล่าช้า เพราะรัฐบาลไทย มีบทเรียนมา 2 ชุด เริ่มไหวตัวทันเกมของบีอาร์เอ็น พยายามส่งผู้นำนอมินี ถูกสถาปนาขึ้นใหม่มาแทน...ส่วนคนมีอำนาจตัวจริง ถอนตัวอยู่เบื้องหลังในสภาที่ปรึกษาฯ ในจำนวนนี้ 2-3 คนเคยมาเรียนในกรุงเทพฯ อดีตเคยอยู่ชมรม PNYS ด้วยซ้ำประเด็นสำคัญปัญหาไม่เข้าใจกัน...ในเรื่องโครงสร้างขบวนการบีอาร์เอ็น ระบบการสั่งการสายทหาร การก่อความไม่สงบ จะแบ่งออกเป็น 3 สาย 1.สายการเมือง...คือ ที่ปรึกษาบีอาร์เอ็น มีอำนาจสูงสุด 2.สายมวลชน...คือ ประชาชนชาวมลายูปัตตานี ที่ให้การสนับสนุน ปลูกฝังมวลชนให้ออกมาต่อต้านรัฐไทยและ 3.สายทหาร...ถูกแบ่งตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด มีระบบสั่งการก่อเหตุ หรือสั่งหยุด ต้องผ่านตามลำดับขั้น ไม่สามารถสั่งการข้ามลำดับได้ เพราะในการปฏิบัติงานของอาร์เคเค มีรูปแบบ “ตัดตอน” ทุกระดับ ทำให้ผู้ปฏิบัติระดับล่าง ไม่รู้ข้อมูลผู้นำระดับสั่งการสูงสุดมาดูกันอีกว่า...ผู้นำระดับสั่งการสูงสุด จะออกคำสั่งให้หยุดก่อความไม่สงบ และมีผลหยุดทั้งหมดทันทีไม่ได้...เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น “ในโลกสงคราม ประเภทองค์กรลับ” เพราะคนปฏิบัติ ไม่เคยรู้เลยว่า “คนสั่งคือใคร” มีเพียง “รหัส ชื่อคนสั่ง” ออกมาเท่านั้นคำถามต่อมามีว่า...เมื่อไม่รู้ใครสั่ง...จะก่อเหตุได้อย่างไร?...คำตอบคือเพราะผู้ปฏิบัติระดับล่าง ต้องยึดมั่น “ซูเปาะ” หรือ “การสาบานตน” ในการต่อสู้ให้ “เกิดบุญ” ทุกคนทำงานหวัง “บุญได้ขึ้นสวรรค์” ที่มีความเชื่อ ถูกสอนมาแบบผิดๆ ถ้าไม่สามารถใช้แรงกาย “ต่อสู้” ก็สละเงินบริจาคแทนเรื่องทั้งหมดเกิดจาก...กลุ่มผู้นำระดับสูง หรือสภาที่ปรึกษาฯ ต้องการอำนาจทางการเมือง และการปกครองออกจากรัฐไทย มีการเคลื่อนสนับสนุน “ทางลับ” สั่งการแนวร่วมสร้างความรุนแรง ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ วางระเบิดเจ้าหน้าที่รัฐ “รูปแบบการก่อการร้าย” ให้เกิดความไม่สงบ มาตั้งแต่ 2547 จนแนวร่วมเข้าสู่รุ่น 3...แต่ในทางเปิดเผย...สภาที่ปรึกษาฯนี้ กลับไม่ยอมรับว่า กลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบนี้ คือ กลุ่มเครือข่ายเดียวกัน เพราะหากยอมรับ...จะกลายเป็นว่า...ให้การสนับสนุนการก่อการร้ายทันทีล่าสุด...เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ฝ่ายความมั่นคง จับกุมแนวร่วมขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ “ระดับ ผบ.ร้อย บีอาร์เอ็น” สามารถตรวจยึดหลักฐานชิ้นสำคัญ “สมุดบันทึกการปฏิบัติการ” เขียนเป็น “ภาษายาวี” ระบุถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการปกครอง สายบังคับบัญชา และนโยบายของบีอาร์เอ็นทั้งหมดสิ่งที่คาดกันไม่ถึง...จำนวนเงินการสนับสนุนที่ได้มาจากกลุ่มมวลชน มาตั้งแต่ปี 2545 ในลักษณะร่วมทำบุญคนละ 2,000 บาทต่อปี เคยตั้งเป้าเงินเก็บได้ปีละ 200 ล้านบาท ตอนนี้เงินมีอยู่ประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท ถูกเก็บไว้กับแกนนำระดับสูงในประเทศมาเลเซีย ถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยง...สนับสนุนขบวนการ... ทว่า...ในเรื่องการแบ่งแยกการปกครอง “กลับไม่คืบหน้า...ยังคงย่ำอยู่กับที่” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่กลับมีเฉพาะเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งลอบวางระเบิด ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ สร้างความหวาดกลัวให้กับคนในพื้นที่และบุคคลภายนอก ทำให้มวลชนที่สนับสนุน “อ่อนล้า” จากปัญหาการต่อสู้กัน ยืดเยื้อมานานหลายปี...เริ่มขาดความเชื่อมั่น ศรัทธา กำลังถดถอยแย่ลงมีผลให้ขบวนบีอาร์เอ็น เผชิญปัญหาเก็บเงินสนับสนุนยาก อาจเพราะพิษเศรษฐกิจด้วย จากเคยรับเงินครบจำนวน กลับกลายเป็นได้บ้าง...ไม่ได้บ้าง ทำให้ผู้นำระดับสูง ต้องปรับเปลี่ยนแผนการต่อสู้ หันมาสร้างความเชื่อมั่นด้านมวลชน พยายามฟื้นฟูหมู่บ้าน ที่กำลังยุติการสนับสนุนให้กลับมาอีกครั้งจับตาในส่วนฝ่ายสายทหาร...ในเขตปัตตานี แบ่งเขตปกครอง 2 เขต แต่ละเขตมีคนพร้อมปฏิบัติการประมาณ 40-50 คน จาก 200-300 คน เพราะมีบางคนถูกจับกุมดำเนินคดี หรือขาดการติดต่อและยุติบทบาทลงส่วนหนึ่งมาจาก...ความพยายามของภาครัฐ...แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อเนื่อง “มุ่งมั่นสร้างความสงบ ความสุขให้กับประชาชน” ด้วยการบูรณาการกำลังทุกภาคส่วน ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร กำลังประชาชนทุกประเภท และมวลชนจิตอาสา ขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วม ทำให้มวลชนบางส่วนกลับมาอยู่ฝั่งรัฐบาลไทย และมีแนวร่วมบางคนทนไม่ไหว ต้องยุติบทบาทเพิ่มมากขึ้นการเจรจาสันติสุข...แม้ยังไร้จุดเริ่มต้น แต่รัฐบาลกำลังเดินเกม...ตั้งรับเชิงรุก...มาถูกทาง...มวลชนเบื่อการต่อสู้ไร้ที่สิ้นสุด...แนวร่วมสุดทนกับการหนี...ทยอยยุติบทบาท...ส่งสัญญาณสะท้อนถึงสถานการณ์ชายแดนภาคใต้...กำลังเข้าสู่สันติภาพแล้ว.