ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาการค้า “งาช้าง” ที่ผิดกฎหมายของประเทศไทย : เรื่องยากที่เป็นไปได้...ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ในเช้าวันที่ 24 สิงหาคม 2562 ว่าไทยหลุดพ้นจากกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องกับการค้างาช้างผิดกฎหมาย ที่พิจารณาโดย...“ไซเตส (CITES)”พูดง่ายๆภาษาชาวบ้านคือหลุดจากแบล็กลิสต์ของไซเตสนั่นเองนับตั้งแต่ปี 2557 ที่ไทยติดอยู่ในกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องกับการค้างาช้างผิดกฎหมาย โดยข้อมูลการจับกุมงาช้างลอตใหญ่ น้ำหนักมากกว่า 500 กก.ขึ้นไป...ที่หลั่งไหลจากกลุ่มประเทศแอฟริกาเข้ามาในไทยในช่วงปี 2555-2557 เป็นข้อบ่งชี้ที่ทำให้ไซเตสจัดไทยเข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความน่ากังวลอย่างยิ่งเกี่ยวข้องกับการค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย (Primary Concern) ซึ่งถือว่าเป็นอาชญากรรมข้ามชาติและเป็นต้นเหตุให้เกิดการล่าช้างในแอฟริกา จนเกือบจะถูกมาตรการลงโทษสูงสุดจากไซเตสโดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารไซเตสครั้งที่ 65 (SC65) เมื่อวันที่ 7-11 ก.ค.57 ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ได้มีมติให้ไทยจะต้องแสดงมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาการค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย ต่อไซเตสอย่างเร่งด่วน มิฉะนั้นจะถูกระงับการค้าในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับไซเตสทั้งหมด ณ วันนั้นผู้ที่มารับทราบสถานการณ์ที่วิกฤติและเงื่อนไขที่น่ากังวลนี้ คือ นายธัญญา เนติธรรมกุล ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมดังกล่าวปัญหาที่วิกฤตินี้ เนื่องจากการระงับการค้าจะทำให้ไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง เพราะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับไซเตสที่สำคัญและได้รับผลกระทบ ได้แก่ สัตว์น้ำ สัตว์เลี้ยงสวยงามหลายชนิด หนังจระเข้ และกล้วยไม้ชนิดต่างๆ ต้องถูกระงับการค้าทั้งหมดซึ่ง...มีมูลค่ารวมนับแสนล้านบาท ไทยต้องปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ พ.ศ.2556-2558 (National Ivory Action Plan 2013-2015) เพื่อแก้ไขสถานการณ์ และอยู่ภายใต้การควบคุมของไซเตสอย่างใกล้ชิด ต้องรายงานความก้าวหน้าทุกระยะ ด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นนอกจากไทยจะถูกมองว่าเป็นทางผ่านหรืออาจจะเป็นปลายทางของงาช้างลอตใหญ่จากกลุ่มประเทศแอฟริกาแล้ว ไทยยังมีงาช้างบ้านซึ่งได้มาจากช้างเลี้ยงที่มีตั๋วรูปพรรณตาม พ.ร.บ.สัตว์พาหนะ มีอุตสาหกรรมการแกะสลักงาช้าง และมีตลาดค้าผลิตภัณฑ์งาช้างภายในประเทศซึ่งถือว่าไม่ผิดกฎหมายทำให้...ปัญหามีความซับซ้อนและยากต่อการแก้ไขอย่างยิ่ง ไทยต้องแยกแยะให้ประชาคมโลกเห็นว่าตลาดงาช้างในประเทศไทย ไม่เกี่ยวข้องกับงาช้างผิดกฎหมายที่มาจากแอฟริกาหรือช้างป่าอย่างเด็ดขาดมาตรการสำคัญหลายอย่างที่ออกมารองรับแผนปฏิบัติการนี้...นับจากเร่งรัดให้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ช้างแอฟริกาเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองภายใต้ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เร่งรัดการออก พ.ร.บ.งาช้าง พ.ศ.2558เร่งรัดให้กระทรวงมหาดไทยออกข้อบังคับเกี่ยวกับการจดทะเบียนตั๋วรูปพรรณช้างบ้านให้มีความรัดกุมขึ้น และดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ครอบครองงาช้างบ้าน ไปพร้อมๆกับการตรวจปราบปรามอย่างเข้มข้นโดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การนำของ พลตำรวจเอกเฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอธิบดีกรมศุลกากร จนคดีเกี่ยวกับงาช้างลดลงอย่างเห็นได้ชัดในปี พ.ศ.2559-2560 คสช.ได้มีคำสั่งให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการเก็บข้อมูลพันธุกรรม หรือตรวจ DNP ช้างบ้านทั้งหมดเพื่อป้องกันการนำช้างป่ามาสวมสิทธิ์เป็นช้างบ้าน...เป็นการตอกย้ำว่าไทยมีมาตรการที่เข้มงวดในการแยกช้างบ้านออกจากช้างป่า เพื่อควบคุมการค้างาช้างต่อไปมาตรการสำคัญอีกด้านหนึ่งคือการพยายามตัดหรือลดความต้องการบริโภคจากผู้ที่ซื้องาช้างโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง หลายๆภาคส่วนให้ความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน...ผลจากการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ทำให้ไทยอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยในเดือนพฤษภาคม 2558 เพียง 10 เดือนหลังจากการประชุม SC65 ทางไซเตสก็ได้แจ้งผลการพิจารณาว่าจะไม่มีการระงับการค้าสำหรับสินค้าไซเตสกับประเทศไทยเนื่องจากเห็นว่ามีมาตรการที่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาสำคัญดังกล่าวแล้วต่อมาในการประชุมคณะกรรมการบริหารไซเตสครั้งที่ 68 (SC68)เมื่อเดือนตุลาคม 2559 ณ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ไซเตสก็ได้ประกาศลดสถานะที่น่ากังวลของประเทศไทย จากประเทศที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่น่ากังวลรองลงมา และต่อมาในการประชุม SC 70 CITES ก็ได้มีประกาศอีกครั้งให้ไทยออกจากกระบวนการจัดทำ แผนปฏิบัติการงาช้าง (NIAP Process)หมายความว่า...ไทยหลุดจากข้อผูกพันที่จะต้องดำเนินการตามแผนดังกล่าวภายใต้การควบคุมของไซเตสแล้วในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 18 (CITES COP 18) ระหว่างวันที่ 17-28 สิงหาคม 2562 ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์องค์กร TRAFFIC ผู้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการค้าช้าง (ETIS Report) ก็ได้มีการรายงานผลการวิเคราะห์ออกมาอย่างเป็นทางการว่า...“ไทยหลุดจากกลุ่มประเทศที่มีความน่ากังวลเกี่ยวกับการค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย”โดยรายงานดังกล่าวได้เสนอต่อที่ประชุมในวันที่ 21 สิงหาคม 2562...ซึ่งหมายความว่าไทยหลุดพ้นจากบัญชีกลุ่มประเทศที่มีปัญหาเกี่ยวกับงาช้างผิดกฎหมายทั้งปวงอย่างน่าภาคภูมิใจยิ่งกรณีของประเทศไทย “ไซเตส”...ได้ถือว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี ที่จะเป็นบทเรียนให้กับประเทศที่ประสบปัญหาต่อไปความสำเร็จในครั้งนี้ มาจากการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากฝ่ายบริหารคือรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่สมัยที่พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ได้ผลักดันการออกกฎหมายและกฎกระทรวงต่างๆและพลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร–ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมท่านต่อมา ได้สานต่อนโยบายดังกล่าว ทำให้การปฏิบัติงานมีทิศทางที่ชัดเจนและมีความต่อเนื่องจริงจังถือเป็นการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศที่เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สร้างความมั่นใจต่อสาธารณชนว่าจะดูแลปัญหาเกี่ยวกับช้างให้ดีที่สุดทั้งนี้...ไทยอยู่ระหว่างการออกอนุบัญญัติรองรับพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ซึ่งจะเป็นการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติในการคุ้มครองชนิดพันธุ์สัตว์ป่าให้ดียิ่งขึ้น.