“จะกินผักผลไม้เมืองไทยต้องสวดมนต์ก่อน” ...เทศกาลเจมาถึง จำขึ้นใจหนึ่ง...ล้างพืชผักผลไม้ ถึงสารพิษออกบ้างก็ออกไม่หมดสอง...ที่ตรวจ มีข้อจำกัด ไม่ได้ครบ 280 ชนิด ตรวจได้ไม่มากสาม...ปกติการตรวจ พิษพาราควอต ไกลโฟเสต ไม่ได้ทำเป็นประจำ “หมอดื้อ” หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวแกมประชดว่า รู้เช่นนี้...เรียกร้องรัฐบาลแบน 3 สารเคมี พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส, ไกลโฟเสต ถ้าไม่แบนจะได้รู้ว่าปกป้อง “คนไทย” หรือ “นายทุน”“เทศกาลเจผักกำลังมา และทุกวันที่กินสารพิษก็สะสมโรค เบ่งบานจน เป็นอีกสาเหตุที่โรงพยาบาลรัฐล่ม โรครุนแรงรักษาไม่ได้ เงินไม่พอ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐทำงานไม่ทัน ผู้เชี่ยวชาญอย่างไรก็ไม่พอ” เอ๊ะ ลืมไปเรายังมีรัฐบาลอยู่นะ...แต่อยู่ที่ไหนน้า?จากคุณ Permphan Dharmasaroja โพสต์เฟซบุ๊ก...การทดลองเล็กๆแต่ให้ภาพที่กระจ่างตาต่อสถานการณ์การใช้สารเคมีในการทำเกษตรในปัจจุบัน“ทฤษฎีการส่งต่อสารเคมีอันตรายจากพืชสู่ร่างกายของเรา” ...ผักกาดขาวเมื่อนำมาแช่ในน้ำแดง จะดูดน้ำเพื่อเลี้ยงลำต้นและใบ จนกลายเป็น...ผักกาดแดง ไม่เป็นผักกาดขาวอีกต่อไปให้เราลองคิดง่ายๆว่าหากเปลี่ยนจากน้ำแดงเป็นปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีฆ่าหญ้า แน่นอนว่า...สารเคมีอันตรายร้ายแรงเหล่านั้น ไม่สามารถล้างออกได้ เพราะพืชผักได้ดูดเข้าสู่ลำต้นและใบ แล้วเราก็นำมาทำอาหารทานเข้าร่างกายอีกที...และแน่นอนที่สุดว่าสารเคมีเหล่านี้ส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบัน หมอดื้อ บอกว่า ขอบคุณองค์กรอิสระ ไทยแพน ไบโอไทย นักวิชาการที่ไม่ยอมก้มหัวให้เศษเงิน จากคนจังไรฆ่าคนไทย เพื่อผลประโยชน์ ...เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช #ต้องยกเลิกการใช้พาราควอต#ต้องยกเลิกการใช้คลอร์ไพริฟอส #ต้องจำกัดการใช้ไกลโฟเสต #hipincy ผักสู้มะเร็งบันทึกความจริงจังและจริงใจรัฐบาล หน่วยงาน กระทั่งบุคคลที่เกี่ยวข้องการประชุมเช้าวันที่ 2 ตุลาคม 2561 ของคณะกรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งมีท่านปลัดกระทรวงและเลขาฯสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยารวมทั้งจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีมติ เพื่อที่จะอธิบายถึงการที่ได้มีการแถลงเมื่อวันที่ 28 กันยายนดังต่อไปนี้... ประการที่หนึ่ง...กระทรวงสาธารณสุขรวมทั้งคณะกรรมการปฏิรูปสาธารณสุขปฏิรูปทางสังคมทางทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ยังคงยืนยันการแบนสารพิษทั้งสามตัว พาราควอต ไกลโฟเสต และ คลอร์ไพริฟอสนอกจากนั้นสนับสนุนอย่างเต็มที่ในเรื่องของเกษตรธรรมชาติยั่งยืนซึ่งรวมไปถึงสารพิษฆ่าแมลงซึ่งตกเป็นประเด็นในวันที่ 28 กันยายนด้วยประการที่สอง...ในขณะที่ไม่สามารถแบนการใช้และไม่สามารถลดละการใช้สารพิษฆ่าแมลงต่างๆอีก 280 ชนิด ทางสำนักอาหารและยาและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงให้ความรู้ประชาชนเรื่อง...การล้าง แต่ข้อสำคัญคือเน้นย้ำว่า “ล้าง” อย่างไรก็ไม่หมด และสิ่งที่หลงเหลือเมื่อบริโภคแล้วยังคงสะสมและยังก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้ง...โรคมะเร็ง ไต สมอง และส่งผลถึงเด็กแรกเกิดและเด็กที่กำลังเจริญเติบโตข้อมูล ณ วันที่ 28 กันยายนที่ทำการตรวจกว่า 7,000 ตัวอย่างนั้นต้องมีความเข้าใจว่าตัวอย่างที่เก็บตรวจจากตลาดมีการปนเปื้อนสูงถึง 30-35% ส่วนที่ค่อนข้างดีนั้นจะมาจากการเก็บตัวอย่างที่แปลงเกษตรและที่มีการผลิตที่ควบคุมแล้ว โดยมีการปนเปื้อนประมาณ 10 ถึง 15%และ...การตรวจนั้นไม่ได้ควบรวมการตรวจ พาราควอต ไกลโฟเสต และการตรวจไม่สามารถตรวจสารฆ่าแมลงได้ทั้ง 280 ชนิด แต่จะเพิ่มมาตรฐานในการตรวจให้ครอบคลุมได้ถึง 104 ชนิด ประการที่สาม...ทางกระทรวงสาธารณสุข สำนักอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะเพิ่มความเข้มข้น ในการตรวจในพื้นที่และทบทวนระบบการเฝ้าระวังโดยจะต้องมีการพัฒนาชุดการตรวจที่สามารถระบุสารพิษได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนั้นในอนาคตอันใกล้จะได้มีการประกาศตลาดร้านค้าและแหล่งการเพาะปลูกที่ไม่มีสารเคมีพิษปนเปื้อนเหล่านี้ประการที่สี่...เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจผลักดันในระเบียบการใช้สารพิษเหล่านี้จึงขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนร่วมกันผลักดันและต่อต้านการใช้สารเคมีสารพิษในพืชผักผลไม้และในอาหารและผลักดันต่อผู้บริหารของประเทศประการสุดท้าย...เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนนั่นก็คือระบบสาธารณสุขและสุขภาพของประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้อง และต้องกำจัดต้นตอของอันตรายต่อสุขภาพของคนไทย ทั้งนี้ เพื่อทำให้หลักประกันสุขภาพอยู่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับคนไทย โดยเฉพาะคนที่ยากจนและด้อยโอกาสความน่ากังวลมีรอบทิศรอบด้าน แถมยังส่งผลต่อเนื่องยาวไกลไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ย้ำหลายครั้งมาตลอดว่าต้องมีการปฏิรูปสิ่งแวดล้อม...สารพิษอาบรดแผ่นดินไทย เพราะแทรกซึมผ่านรกถึงทารกในครรภ์มารดา กระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมอง“หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องออกมาแนะนำวิธีการล้างสารพิษออกจากผิวเปลือกพืชผักผลไม้ แต่ไม่ตอบคำถามว่า...ที่แทรกซึมเข้าไปในเนื้อพืชผักผลไม้จะล้างออกได้อย่างไร” อีกทั้งควรบอกความจริงกับผู้บริโภคว่า หน่วยงานของรัฐไม่มีศักยภาพเพียงพอในการตรวจสารพิษทุกชนิดที่สั่งเข้ามาอาบรดแผ่นดินไทย จึงขอความกรุณาบอกความจริงมากกว่าบิดเบือนให้ข้อมูลไม่ครบต่อสังคมดังนั้น...ควรหรือไม่ที่สรุปว่า พืชผักผลไม้ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดอยู่ในระดับที่ปลอดภัย?“ต้องช่วยกันกระจายให้ทราบกันทั่วประเทศ ต้องลากให้อธิบาย และเปิดโปงให้หมด...รู้เท่าทันสารพิษ รู้เท่าทันหน่วยงานรัฐ สิ่งที่หน่วยงานของรัฐไม่ได้บอกประชาชนกรณีการสุ่มตรวจผักและผลไม้”ไม่บอกว่า...สารที่ตกค้างส่วนใหญ่ประมาณ 60% ล้างไม่ออกไม่บอกว่า...ห้องปฏิบัติการที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์นั้น วิเคราะห์สารพิษกำจัดศัตรูพืชได้กี่ชนิด เพราะความครอบคลุมในการวิเคราะห์จะให้ผลเปอร์เซ็นต์ (%) การตกค้างแตกต่างกันสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทยมีประมาณ 280 ชนิด แต่ส่วนใหญ่การสุ่มตรวจที่ผ่านมาของหน่วยงานราชการตรวจได้เพียง 10% ของจำนวนสารที่มีการใช้ในประเทศเท่านั้นส่วนห้องปฏิบัติการที่ไทยแพนใช้ตรวจสอบสารได้มากกว่า 400 ชนิด แต่ครอบคลุมชนิดสารที่ขึ้นทะเบียนประมาณ 45%...เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่หน่วยงานราชการแถลงต่อประชาชนเรื่องความปลอดภัยของผักและผลไม้จึงเต็มไปด้วยมายาคติหลายชั้น...เราจะเอาพวกมัน (สารพิษ) อีกหรือ?วังเวงงงง...หนอวังเวงงงง...เสมือนประหนึ่งว่า “ผู้บริโภค” ต้องวัดดวงช่วยตัวเองไปพลางๆ ด้วยยังไม่มีมติชัดเจนที่จะ “แบน” สารพิษร้ายแรง...ปลดล็อก “แผ่นดินอาบพิษ” แต่ประการใด.