“HA” หรือ “Healthcare Accreditation”...โรงพยาบาล มีความสำคัญและจำเป็นอย่างไรบ้าง?นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) อธิบายเข้าใจง่ายๆว่า โรงพยาบาลต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ความต้องการของประชาชนพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย โรงพยาบาลก็ต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สอดรับกับความต้องการและเทคโนโลยีเหล่านี้ ถ้าโรงพยาบาลพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆด้วยตัวเองที่มีศักยภาพที่พัฒนาระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่การที่มี HA เข้าไปเหมือนเป็นคนนอกที่ขณะเดียวกันเราก็เป็นหมอและขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนตัวแทนประชาชนผู้รับบริการด้วย ก็จะช่วยเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยน สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องไหนที่ทำได้ดีแล้วน่าจะทำต่อ...“เรื่องไหนที่ทำแล้วอาจจะทำได้ไม่ดีนักมีโอกาสที่จะพัฒนา ทำประเด็นไหนเพิ่มเติมกระบวนการพัฒนาคุณภาพ HA...เป็นการทำให้โรงพยาบาลเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”เมื่อเป็นเช่นนี้ “โรงพยาบาล” ที่ได้รับ “HA” ก็หมายถึงว่ามีมาตรฐานคุณภาพในการให้บริการระดับหนึ่ง นพ.กิตตินันท์ ย้ำว่า สิ่งที่จะสื่อสารออกมา หากจะบอกว่าถ้าโรงพยาบาลไหนได้ HA แล้วหมายถึงว่ามีมาตรฐานก็จะมีประชาชนคาดหวังว่าถ้าอย่างนั้นก็จะดีแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เลย“ปัญหามีว่าในงานบริการสุขภาพ โอกาสที่จะให้บริการได้ดีไม่มีปัญหาโรคแทรกซ้อน ไม่มีอะไรเลยแบบ 100 เปอร์เซ็นต์นั้น...ทั่วโลกก็ยังทำไม่ได้”ทำความเข้าใจกันอีกครั้ง ก็เหมือนกับการสอบ ถ้าได้ “HA”...ก็เหมือนกับสอบผ่าน 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่ายังมีความไม่สมบูรณ์ที่ต้องพัฒนาต่อเนื่อง ฉะนั้นความคาดหวังของประชาชนที่เข้าสู่การรักษาโรงพยาบาลที่ได้รับ HA ก็ต้องพอดีๆ...“รู้ว่าเขาพัฒนาอยู่นะ แต่ถ้าไม่มี HA ก็อาจจะต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์” พัฒนาขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์พอสมควร แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ สิ่งที่คาดหวังก็คือ...ทุกคนเข้ามาช่วยพัฒนาโรงพยาบาลต่อให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ“HA”...มีอายุการรับรอง ถ้าผ่านการรับรองครั้งแรกจะมีอายุ 2 ปี แต่ถ้าหลังจากนั้นก็จะเป็นทุก 3 ปี เนื่องจากโรงพยาบาลการพัฒนาความก้าวหน้าต้องเรียนรู้ไป พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ใช่แค่ว่ารับรองครั้งเดียวแล้วจบ แนวคิดของ “HA”...คือการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะมีการเข้าไปประเมินเป็นระยะทุก 3 ปี“HA”...แนวคิดบางอย่างจะคล้ายๆมาตรฐาน “ISO” ในโรงงานอุตสาหกรรม แต่เนื่องจากระบบในโรงพยาบาลมีความละเอียดต่างจากระบบ ISO ค่อนข้างเยอะ อย่างเช่น ระบบยา เวชระเบียน กระบวนการดูแลผู้ป่วย จะแยกออกมาอย่างชัดเจนแล้วก็ลงรายละเอียดลึกกว่าปัจจุบันประเทศไทยมีโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนรวมกันประมาณ 1,400 แห่ง แบ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐประมาณ 1,000 แห่ง ที่เหลือเป็นโรงพยาบาลเอกชน นอกจากการมีโรงพยาบาลที่กระจายตัวอย่างทั่วถึงแล้ว “คุณภาพ” ในการให้ “บริการ”...นับเป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งไม่ว่าจะเป็น “โรงพยาบาลรัฐ” หรือ “โรงพยาบาลเอกชน” ก็จำเป็นต้องมีการพัฒนาและรักษาคุณภาพโดยคำนึงถึงผู้ป่วยเป็นสำคัญการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลจึงเป็นภารกิจที่ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ให้ความสำคัญ โดยระบบรับรองคุณภาพของไทยเริ่มต้นมาประมาณ 20 ปีแล้ว ผ่านการศึกษารูปแบบจากทั้งทางยุโรป...อเมริกา และนำมาพัฒนาต่อให้เข้ากับบริบทของสังคมไทยขณะนี้มีโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองคุณภาพแล้วประมาณ 740 แห่ง เป็นโรงพยาบาลของรัฐราว 600 แห่ง นพ.กิตตินันท์ บอกว่า มาตรฐานที่ใช้รับรองโรงพยาบาลมีการพัฒนาต่อเนื่องมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โครงสร้างหลักของมาตรฐานในปัจจุบันเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในการประเมินความเป็นเลิศขององค์กรต่างๆภาษาเทคนิคเรียกว่า Thailand Quality Award เพียงแต่รายละเอียดจะพัฒนาจากการเยี่ยมโรงพยาบาลของทางสถาบัน เพื่อให้มีความจำเพาะที่เกี่ยวกับโรงพยาบาลโดยตรงยกตัวอย่างเรื่องการจัดการกระบวนการใน “Thailand Quality Award” จะระบุไว้กว้างๆ แต่พอเป็น “โรงพยาบาล” เราจะระบุตัว “กระบวนการ” และ “ระบบงาน”...ที่สำคัญที่มีในโรงพยาบาล ตั้งแต่ก่อนเข้าจนกระทั่งจำหน่ายผู้ป่วยออกและการดูแลต่อเนื่อง...“โรงพยาบาลเวลาผ่านการประเมิน ตัวมาตรฐานเราจะมีทั้งหมด 4 ตอน ซึ่งโรงพยาบาลต้องผ่านทั้งสี่ตอน...ตอนแรกเป็นเรื่องระบบงานใหญ่ของโรงพยาบาล เช่น จะนำองค์กรยังไง มียุทธศาสตร์อย่างไร เป้าหมายอย่างไร จัดกำลังคนอย่างไรส่วนที่สอง...เป็นส่วนงานสำคัญ เช่น ระบบยา เวชระเบียน ห้องแล็บ ต้องมีระบบงานที่รัดกุม ตอนที่สาม...คือระบบการดูแลผู้ป่วยทั้งระบบ ตั้งแต่เข้ามาถึงโรงพยาบาลยังไงจะตรวจวินิจฉัย วางแผนการรักษา...วางจำหน่าย และดูแลต่อเนื่องอย่างไร เป็นระบบสนับสนุนที่จะทำให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างราบรื่น และตอนที่สี่...ถ้าวางกระบวนการไว้ดีหมดแล้ว ผลลัพธ์ของการบริการก็น่าจะมีแนวโน้มดีพอสมควร”โรงพยาบาลที่โดดเด่นในแง่การประเมินรับรองและเป็นโรงพยาบาลใหญ่ ที่ถ้าเทียบกับปริญญาก็ถือเป็นระดับเกียรตินิยมมี 4 แห่ง คือ ศิริราช ภูมิพล บำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล และโรงพยาบาลกรุงเทพ แล้วยังมีอีกหลายแห่งที่อยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมเพื่อการประเมินคำว่า “เกียรตินิยม” เป็นคำเปรียบเทียบเหมือนกับว่าเราเป็นนักเรียนเรียนได้ดี ก็ใช้ข้อสอบไม่ต่างกัน แต่การสอบการวัดผลมีการผ่านเกณฑ์ประเมินยากกว่า เพียงแต่ HA จะใช้คำว่า...“ขั้นก้าวหน้า” ไม่ใช่ว่าผ่านธรรมดา แต่ผ่านดีกว่าเกณฑ์ปกติ อย่างเช่น ปกติผ่านแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่กลุ่มเหล่านี้อยู่ที่ 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้น“HA เกียรตินิยมกำลังพัฒนาอยู่ ในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มมาอีก 2 แห่ง” นพ.กิตตินันท์ ว่า “HA...ส่วนใหญ่แล้วจะพัฒนาโดยเริ่มจากบันได 3 ขั้น ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ...ขั้นหนึ่ง...ขั้นสองก็ไม่ค่อยยาก แต่ในขั้น 3 การรับรองจะยากที่สุด เพราะไต่การพัฒนามาได้ระดับหนึ่งก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการประเมินตนเอง”เทียบกับมาตรฐานแล้ว มีความพร้อมที่จะประเมินจากเรา (สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาลฯ) หรือยัง ถ้าพร้อมจะขอรับการประเมินเข้ามา ขั้นถัดไปก็จะส่งผู้เยี่ยมเข้าไปประเมินว่าสามารถทำได้ตามมาตรฐานที่กำหนดหรือไม่...จัดทำรายงานเพื่อจะเสนออนุกรรมการรับรองสอดคล้องกับมาตรฐานไหมขั้นตอนทั่วไปเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเป็นระดับแอดวานซ์ HA...ที่เปรียบเทียบว่าเป็น “เกียรตินิยม” โจทย์จะค่อนข้างยาก จะมีการเตรียมความพร้อมให้ความรู้กับโรงพยาบาลก่อนเป็นการเฉพาะ ถ้าจะผ่านขั้นนี้ขั้นตอนที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมมีเครื่องมืออีกหลายชิ้นที่ต้องพัฒนา เรียนรู้เพิ่มเติมก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอน HA ปกติHA...ระบบคุณภาพในโรงพยาบาล กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำ ต้องรับรอง “โรงพยาบาล”...มีทางเลือกอาจจะเลือกทำมาตรฐานของต่างประเทศ บางแห่งก็มาตรฐาน ISO ตามกลไกตลาด หากโรงพยาบาลได้ประโยชน์จากการเยี่ยมประเมินของ HA ก็จะสนใจ...เข้ามาร่วมกับเรามากขึ้น“การรักษาพยาบาลทุกคนตั้งใจทำดี แต่ในยุคที่ผ่านมามีความเห็นที่ขัดแย้งกัน ถ้าเราช่วยกันพัฒนา ทั้งแพทย์ ผู้ป่วย คนไข้...ให้รู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของโรงพยาบาล มีอะไรหนักหนาไม่ลงรอย ช่วยกันพัฒนาไป สังคมไทยจะยิ่งดีขึ้นตามลำดับ HA...ก็เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี ผอ.สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาลฯ กล่าวทิ้งท้าย.