ทฤษฎีที่รู้กันกว้างขวางเกี่ยวกับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ก็คือเมื่อ 66 ล้านปีก่อน มีดาวเคราะห์น้อยขนาดเท่านครซานฟรานซิสโก ของสหรัฐอเมริกา พุ่งตกลงไปในทะเลน้ำตื้นซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่นอกชายฝั่งประเทศเม็กซิโก และหายนะนี้ทำให้โลกเข้าสู่เหตุการณ์สูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตสิ่งมีชีวิตไปมากถึง 75% รวมถึงไดโนเสาร์ด้วยแต่ยังคงมีข้อถกเถียงกันว่าการสูญพันธุ์ครั้งนั้น ที่เรียกว่าการสูญพันธุ์ในยุคครีเตเชียส-พาลีโอจีน (K-Pg) ส่งผลกระทบต่อพืชบนบกอย่างไร เนื่องจากการศึกษาหลักฐานฟอสซิลทั่วโลกชี้ว่าไม่มีพืชตระกูลใหญ่หลักๆสูญพันธุ์ไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตตในสหรัฐฯ เผยการวิเคราะห์ใหม่กับฟอสซิลที่พบในอเมริกาเหนือและใต้ ว่าได้ให้ความกระจ่างว่าพืชเป็นอย่างไรในช่วง K-Pg หลังตรวจสอบข้อมูลฟอสซิลที่พบในรัฐนอร์ทดาโกตา รัฐโคโลราโด และรัฐนิว เม็กซิโก ในสหรัฐฯ ร่วมกับฟอสซิลที่พบในโคลอมเบียและอาร์เจนตินา ทีมวิจัยเผยว่า หลักฐานเหล่านั้นชี้ให้เห็นถึงการสูญเสียพันธุ์พืชอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า 50% ในแต่ละพื้นที่ การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็นส่วน ประกอบของพวกมันและวิธีการทำงาน ฟอสซิลพวกนั้นยังแสดงให้เห็นว่าป่าฝนเขตร้อนหลังการสูญพันธุ์มีความแตกต่างอย่างมากจากระบบนิเวศรุ่นก่อนๆ ทั้งในด้านองค์ประกอบ โครงสร้าง และนิเวศวิทยา.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่