หลังติดอันดับ 1 ใน 10 ของ Global Soft Power Index ในปี 2022 อิตาลี ก็เริ่มขยายอำนาจอาวุธทางวัฒนธรรมออกสู่สายตาชาวโลก แม้แต่ภาพยนตร์พล็อตตื้นๆใน Netflix อย่าง “Love in the Villa” หนังรักสูตรสำเร็จแบบละครทีวี ที่แทบจะไม่มีอะไรซับซ้อน ยังสามารถทำให้ผู้คนอยากไปสัมผัส เวโรนา เมืองในตำนานรักของโรมิโอ & จูเลียต อยากจิบไวน์ Amarone และชิมพาสตาซิกเนเจอร์ของเวโรนาขึ้นมาทันทีนี่เป็นแค่จุดเล็กๆของการขาย Soft Power ผ่านหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่พล็อตเบาบาง แถมบางฉากยังออกจะเชยๆไปเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยภาพสวย การนำเสนอดี แบบง่ายๆแต่ดูมีเสน่ห์ เหมือนเมื่อ 12 ปีก่อนที่ มาร์ค สตีเว่น จอห์นสัน ผู้กำกับคนเดียวกัน เคยทำหนัง “When in Rome” จนทำให้อิตาลีกลายเป็น Dream Destination ของหนุ่มสาวนักแสวงหาจากทั่วโลกในยุคนั้น หนังน้ำเน่า ซ้ำซากจำเจมากๆ แต่เหมือนอาหารที่ย่อยง่าย รสชาติกำลังดี และยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้มหาศาล นี่ละการสร้างมูลค่าจาก Soft Power...มีคำถามว่า แล้วทำไมไทยเราซึ่งมีต้นทุนทางวัฒนธรรมมหาศาล จึงยังไม่สามารถติดอันดับ 1 ใน 10 หรือแม้แต่ 20 ของประเทศที่ใช้อำนาจทางวัฒนธรรมสร้างรายได้ สร้างภาพจำ ให้กับชาวโลกได้ ภาณุ อารี คนทำหนังมากฝีมือ อดีตผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศชื่อดัง ให้ข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า เหตุผลที่ Soft Power ไทยไปไม่ถึงดวงดาว ส่วนหนึ่งมาจากกรอบความคิดแบบเดิมๆของรัฐไทย ที่มองว่าการส่งออกวัฒนธรรมไทยต้องมีตัวแทนความเป็นไทย เช่น รำไทย อาหารไทย หรือแม้แต่การสะท้อนภาพชุมชนชนบทแบบกลิ่นโคลนสาบควาย กลิ่นอายท้องทุ่ง ฯลฯ “Soft Power ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีความแนบเนียนและอำพราง เหมือนที่วัฒนธรรมอเมริกันสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนได้ จากการขาย หนังอเมริกัน แล้วเลียนแบบแฟชั่นการแต่งตัวของดารานักแสดง และไม่นานคนดูก็ซึมซับ เลียนแบบ กลายเป็นเรารับวัฒนธรรมอเมริกันโดยที่เขาไม่ได้มาบีบคอให้เรายอมรับด้วยซ้ำ” ภาณุ ตั้งข้อสังเกต พร้อมกับบอกว่า ไม่ต่างอะไรกับที่วันนี้ แฟชั่นเกาหลีลามไปทั่วโลกทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม ขณะที่คนไทยบางกลุ่มยังมานั่งกังวลว่า เราจะสูญเสียอัตลักษณ์ไป เพราะเด็กและเยาวชนได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างชาติ ภาณุ บอกว่า การแข่งขัน Soft Power ไม่ได้วัดที่ความโดดเด่นทางอัตลักษณ์ แต่วัดกันที่ความคิดสร้างสรรค์ ต่อให้แข่งด้วยการใส่ชุดไทยไปรำไทย ถึงจะสวยแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่า คนทั้งโลกจะต้องรู้สึกเหมือนกัน อย่างวงบีทีเอส (BTS) และแบล็กพิงก์ (BLACKPINK) ที่ประสบความสำเร็จในอเมริกาไม่ใช่การแต่งชุดฮันบกไปเต้น หรือเอาดนตรีแบบเกาหลีไปใช้ แต่เป็นการปรับตัวให้ร่วมสมัย ใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นกว่า จนสามารถเอาชนะวัฒนธรรมป๊อปชาติอื่นได้ ประเทศไทยมีข้อเสีย ที่ระบบนิเวศไม่พร้อมต่อการสร้าง Soft Power อย่างจริงจัง ลิซ่า แบล็กพิงก์ โด่งดังไปทั่วโลก เพราะไปอยู่เกาหลี มุ่งมั่น ฝึกฝน ที่สำคัญมีพื้นที่ที่ให้ได้แสดง ทาเลนต์ของตัวเอง ลองคิดในมุมกลับ ถ้าลิซ่าอยู่เมืองไทย ชีวิตจะเป็นยังไง...ประเด็นคือ เรามีทาเลนต์มากมาย แต่เด็กเก่งๆคนเก่งๆเหล่านี้ ไปได้ไกลเพราะไปอยู่ในประเทศที่มีระบบนิเวศที่ดีต่อการส่งเสริม Soft Power อย่างญี่ปุ่น เกาหลีและอีกหลายที่ในโลกภาณุ ขยายความคำว่าระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อ Soft Power ว่า มีหลายมิติอย่างแรกคือคนต้องมีสิทธิเสรีภาพ ไม่กลัวในการนำเสนอ ซึ่งอาจต้องปรับเปลี่ยนตั้งแต่ระบบการศึกษา ต้องทำให้เด็กมีเสรีภาพในการคิดและแสดงออก มิติที่สองคือการสนับสนุนด้านการเงิน เป็นสิ่งสำคัญเนื่อง จากศิลปินบางคนมีไอเดียที่ดี แต่ไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งรัฐควรจะเป็นคนสนับสนุนให้เงินทุน ต่อให้ขาดทุน แต่อย่างน้อยเป็นการสร้างบุคลากรให้ได้มีผลงานออกมา และมิติที่สาม คือ การเข้ามามีส่วนร่วมของเอกชนในการสร้างแพลตฟอร์มหลายๆอย่างแบบที่เกาหลีใต้ทำในปัจจุบัน“ก่อนจะทำหนังสักเรื่อง ต้องคิดว่าคนทั่วโลกเขารู้สึกกับสิ่งใด หรือสนใจอะไรมากที่สุด อย่าลืมว่า เรากำลังสื่อสารกับคนทั่วโลก ถ้าการสร้างคอนเทนต์ คือ การสื่อสารกับคนจำนวนมาก สำคัญที่สุด เราต้องขายสิ่งที่คนทั้งโลกสนใจ หรือ ประเด็นที่คนทั่วโลกรู้สึกตรงกัน เช่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม สิทธิสตรี สิทธิของความหลากหลายทางเพศ และเรื่องสิ่งแวดล้อม” ภาณุ บอก พร้อมกับทิ้งท้ายว่า soft power ควรถูกกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกกระทรวงต้องช่วยกันคิดแล้วผลักดันให้เกิดเป็นนโยบายออกไป ไม่ใช่กระทรวงวัฒนธรรมที่กระทรวงเดียว ตัวชี้วัดความสำเร็จของชาติอยู่ที่ความสามารถในการยึดพื้นที่ทางด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ถ้าประเทศไทยไม่อยากตกขบวนของการเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองโลก ก็ควรจะใส่ใจในเรื่องพวกนี้อย่างถ่องแท้ ไม่เช่นนั้นเราจะถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ตามไม่ทัน และไม่สามารถเอาแผนที่ของเราไปปักบนพื้นที่วัฒนธรรมโลกได้.