ในช่วงอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ หลายครอบครัวซื้อหาอาหารแห้งมาเก็บไว้กิน ไม่ต่างจากครอบครัวผม ที่คุณภรรยาซื้อ “น้ำพริกปลาสลิดแมงดา” มาฝาก แค่เปิดฝากระปุกกลิ่นหอมของแมงดาลอยโชยมาแตะจมูก มันช่างหอมยั่วใจ ผมตักน้ำพริกคลุกกินกับข้าวสวยร้อนๆ ถึงกับตาลุกวาวเป็นประกาย“คุณชายตะลอนชิม” ขอแนะนำร้าน “กรุงสยาม” ตั้งอยู่ที่ “ตลาดซันพลาซ่า” ซอยวิภาวดีรังสิต 9 แขวงจอมพล เขตจตุจักร หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า “ซอยเฉยพ่วง” ด้วยความเอร็ดอร่อยของ “น้ำพริกปลาสลิดแมงดา” ทำให้ “คุณชายแป๊ะ” ต้องตามไปชิม แม้จะเป็นช่วงเว้นระยะห่างทางสังคม แต่บรรยากาศของตลาดซันพลาซ่าก็คึกคักไม่เบา ผมมองหาป้ายร้าน “กรุงสยาม” อาจสังเกตยากหน่อย แต่ให้ดูจากปริมาณลูกค้าที่เข้าคิวยาวรอซื้อเป็นได้เรื่อง ร้าน “กรุงสยาม” เปิดเป็นแผงขายอาหารขนาด 2 เมตร มีน้ำพริกนานาชนิดให้ชิม แถมทีเด็ดยังอยู่ที่เนื้อเค็ม, หมูทอด, ไก่ทอด และเครื่องในไก่ที่ทอดกันสดๆมีให้เลือกทั้งแบบทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ หรือจะหม่ำกับข้าวสวยก็จัดใส่กล่องเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านน่ารับประทาน“วันก่อนภรรยาผมซื้อน้ำพริกไปฝาก กินแล้วติดใจเลยตามมาชิมถึงร้านครับ” ผมเปิดประเด็นสนทนากับ “คุณผึ้ง-น้ำผึ้ง ปิ่นแก้ว” เจ้าของร้านวัยกลางคน ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการขายของให้ลูกค้า “น้ำพริกปลาสลิดแมงดา” เป็นสูตรของคุณแม่ค่ะ ตามแบบฉบับชาวสุพรรณบุรี วิธีทำน้ำพริกปลาสลิดแมงดาให้อร่อยต้องพิถีพิถันตั้งแต่เลือกปลาสลิด คัดขนาดตัวใหญ่เนื้อเยอะๆ นำไปอบแห้ง 2 รอบ ให้เนื้อปลากรอบ ก่อนนำไปบดละเอียด ส่วนเครื่องน้ำพริกใช้กระเทียม, หอมแดง และพริกแห้งทั้งเม็ดใหญ่เม็ดเล็ก ใส่พริกขี้หนูลงไปเพื่อเพิ่มรสจัดจ้าน ส่วนผสมทุกอย่างต้องแห้งถึงจะได้คุณภาพ เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วจึงนำเครื่องน้ำพริกไปคั่วไฟให้หอม แต่งรสชาติด้วยเกลือและใส่น้ำปลาเล็กน้อย เนื่องจากปลาสลิดมีรสเค็มในตัว ส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างคือแมงดา ต้องเด็ดหัว, ปีก และขาออก เอาเฉพาะตัวแมงดามาอบแล้วบดให้ละเอียด นำไปบดรวมกับน้ำพริกปลาสลิดที่เตรียมไว้ สำหรับแมงดาวัตถุดิบสำคัญสั่งตรงมาจากสุพรรณบุรี มีชาวบ้านในพื้นที่ทำแมงดาดองขายเป็นรายได้เสริม หลังการเกี่ยวข้าวทั้งนาปีและนาปรัง ชาวบ้านนำหลอดไฟสีม่วงไปส่องล่อแมงดาแล้วจับมาดองขาย อีกหนึ่งเมนูขายดีไม่แพ้กันคือ “น้ำพริกตาแดง” การทำน้ำพริกตาแดงต้องใช้พริกขี้หนูและพริกแดงเม็ดใหญ่อบแห้ง นำมาบดผสมกันปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก นอกจากนี้ยังสามารถนำน้ำพริกตาแดงไปผสมกับวัตถุดิบอื่น เพื่อเพิ่มความหลากหลาย เช่น เอาไปผัดกับปลาสลิดย่าง ก็ได้เมนูใหม่เป็น “น้ำพริกตาแดงปลาสลิดย่าง” หรือนำไปผัดไข่เค็ม ใส่หอมแดงและกระเทียม ก็เพิ่มความหอมน่ารับประทานไปอีกสไตล์ ที่ร้านยังมีน้ำพริกให้เลือกอีกหลากหลาย ทั้งน้ำพริกนรกแมงดา และน้ำพริกนรกกุ้ง น้ำพริกเป็นอาหารที่สามารถเก็บไว้ทานได้นาน ทำขายวันต่อวันเพียงวันละ 5 กิโล เหลือบไปเห็นเนื้อเค็มเพิ่งทอดเสร็จร้อนๆนำมาวางเรียงใส่ถาด ช่างเย้ายวนชวนชิม เนื้อเค็มรสชาติกำลังดีนุ่มลิ้นไม่เหนียวเลยกินกับน้ำจิ้มแจ่วเข้ากันดี แต่ให้ดีที่สุดต้องกินคู่กับน้ำพริกปลาสลิดแมงดา อร่อยเด็ดขาดเจริญพุง คุณผึ้งเล่าว่า “เนื้อเค็มทอดถือเป็นพระเอกของร้าน ขายดีที่สุด เลือกเฉพาะเนื้อสันนอกติดมันแล่หนาประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร หมักด้วยน้ำปลาอย่างดี ผสมน้ำตาลโตนดเล็กน้อย เคล็ดลับคือต้องนวดให้นานหน่อยเพื่อความนุ่ม หมักไว้ในตู้เย็น 1 ชั่วโมง จากนั้นนำไปตากแดดทั้งสองด้านอีก 1 ชั่วโมง จึงนำมาทอดขาย วันศุกร์เป็นวันที่ขายดีมาก ลูกค้าซื้อกลับไปกินช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ส่วนที่ขายดีรองลงมาเป็นหมูเส้น มีทั้งแบบชุบแป้งทอด และหมูแดดเดียว ใช้เนื้อหมูส่วนสะโพก หมักด้วยซอสปรุงรส, ซีอิ๊วขาว, น้ำมันหอย, กระเทียม, พริกไทย และรากผักชี หมักเสร็จนำไปชุบแป้งทอดขายได้เลย ส่วนที่เป็นหมูแดดเดียวต้องนำไปตากแดดก่อน ร้านเรายังมีหมูสามชั้นทอด สันคอหมูทอด และคอหมูย่าง ทุกอย่างทอดกันสดๆที่ร้าน มีน้ำจิ้มแจ่วไว้เพิ่มรสชาติความจัดจ้าน” ใครสนใจซื้อของอร่อยไว้กินยามกักตัว สนนราคาเนื้อเค็มแดดเดียวทอด ขีดละ 70 บาท กิโลกรัมละ 700 บาท, หมูสามชั้นทอด, สันคอหมูทอด, หมูแดดเดียวทอด และหมูเส้นชุบแป้งทอด ขีดละ 50 บาท กิโลกรัมละ 500 บาท ส่วนคอหมูย่าง ขีดละ 60 บาท กิโลกรัมละ 600 บาท, ไก่ทอด ขีดละ 50 บาท กิโลกรัมละ 500 บาท ขณะที่น้ำพริกทุกชนิด กิโลกรัมละ 250 บาท แบ่งขายกระปุกใหญ่ 50 บาท และกระปุกเล็ก 20 บาท ใครทานข้าวหมูทอดอิ่มจบในกล่องเดียว ราคา 50 บาท และข้าวเนื้อเค็มทอด กล่องละ 70 บาท เปิดวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 07.00-14.00 น. โทร 08-9898-0775 ไม่มีบริการดีลิเวอรี ใครอยากกินของดีต้องไปที่ร้านเอง.คุณชายแป๊ะ