“อนุสาวรีย์” ในวัฒนธรรมตะวันตก หมายถึงสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์แสดงความระลึกถึงบุคคล, สัตว์ ตลอดจนเหตุการณ์สำคัญๆ อาจสร้างเป็นรูปเหมือน หรือรูปสัญลักษณ์ ที่สื่อถึงวีรกรรม และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ โดยมากมักเป็นสิ่งก่อสร้างที่มองเห็นได้ง่าย และตั้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะการก่อสร้างอนุสาวรีย์ในโลกตะวันตก มีประวัติความเป็นมาหลายพันปี ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีการนำหินขนาดใหญ่มาตั้งซ้อน หรือจัดวางเรียงกัน ซึ่งสมัยต่อมาเรียกว่า “Megalith” หมายถึง “หินตั้ง” หรือ “หินใหญ่” มีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณว่า “megas” แปลว่าใหญ่ และ “lithos” แปลว่าหิน เมื่อรวมกันแล้วจึงหมายถึงหินขนาดใหญ่ที่อาจเป็นหินก้อนเดียว หรือกลุ่มหินที่ถูกนำมาตั้งและจัดวางโดยไม่ใช้วัสดุใดเชื่อมต่อ ถือเป็นอนุสาวรีย์ในยุคแรกเริ่ม ซึ่งพบได้ในทุกภูมิภาคของโลกอนุสาวรีย์ในยุคแรกเริ่มของโลก แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ “Menhir” เป็นคำยืมจาก “เบรอตง” ภาษาท้องถิ่นภาคตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส มาจากคำว่า “maen” แปลว่าหิน ผสมกับคำว่า “hir” แปลว่ายาว รวมกันหมายถึงหินรูปทรงยาวที่ถูกจัดวางตั้งตรง หรือตั้งฉากกับพื้นดิน มีทั้งที่ตั้งวางเดี่ยว และตั้งวางเป็นกลุ่ม และอาจมีการขัดเกลาให้ผิวหินเรียบ หรือกะเทาะเนื้อหินออกให้ได้รูปร่างตามต้องการ บางแห่งยังสลักเป็นรูปต่างๆ โดยจะสร้างเป็นอนุสรณ์สถานแก่วีรบุรุษ เพื่อเตือนความทรงจำถึงเหตุการณ์สำคัญบางอย่าง และมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการพัฒนาเป็นเสาโอเบลิสก์ในวัฒนธรรมอียิปต์โบราณในสมัยต่อมานอกจากหินตั้งแล้ว ในยุคแรกเริ่มยังมีการสร้างอนุสาวรีย์ในรูปแบบของ “โต๊ะหิน” สร้างเป็นกลุ่มหินจัดวางแบบมีหลังคาคลุมคล้ายโต๊ะ หรืออาคารที่มีผนังล้อมรอบ มักสร้างด้วยการตั้งหินสองแท่ง หรือมากกว่า โดยรองรับแผ่นหินแบบที่ตั้งตามแนวราบเหมือนโต๊ะ หรือที่เรียกว่า “หินมุงหลังคา” ซึ่งมีความหมายครอบคลุมถึงสุสานที่ก่อขึ้นจากหิน “โต๊ะหิน” ถือได้ว่าเป็นรากฐานของระบบเสาและคาน อันเป็นเทคนิคก่อสร้างสำคัญในยุคปัจจุบัน มีการสันนิษฐานว่า อนุสาวรีย์โต๊ะหินถูกสร้างขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรมโบราณที่สาบสูญไป และมักมีขนาดใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ ในยุคที่ยังปราศจากเครื่องทุ่นแรงใดๆ ตัวอย่างเด่นชัดสุดคือ “สโตนเฮนจ์” ถือเป็น “ครอมเลค” สุสานที่ก่อขึ้นจากหินในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่กลางที่ราบซอลส์บรี ทางตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง เมื่อมนุษย์กลายเป็นสัตว์สังคมเต็มตัวที่ชอบรวมกลุ่มกัน และมีความซับซ้อนยิ่งขึ้นจึงเริ่มมีการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เพื่อเป็นเสมือนอนุสรณ์สถาน บ่งบอกความสำคัญของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาสมัยอียิปต์โบราณ มีการก่อสร้าง “เสาโอเบลิสก์” ซึ่งมีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ “Obeliskos” หมายถึงเหล็กแหลม, เข็ม หรือเสาปลายแหลม มีลักษณะเป็นเสาสูง สร้างจากหินแกรนิตขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยม ที่มีฐานกว้าง และค่อยเรียวแหลมขึ้นสู่ยอดด้านบน ลักษณะเหมือนพีระมิด และมักนิยมหุ้ม หรือเคลือบด้วยโลหะ เช่น ทองคำ, เหล็ก และทองแดง ทั้งสี่ด้านของเสายังแกะสลักร่องลึกเป็นรูปอักษรไฮโรกลิฟ ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับฟาโรห์ผู้สร้าง และการบูชาเทพเจ้า สันนิษฐานว่า “เสาโอเบลิสก์” เป็นสัญลักษณ์แห่งเทพรา หรืออาเมนรา เทพแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดในตำนานอียิปต์โบราณ โดยชาวอียิปต์ได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า “เสาสุริยะ” เกิดจากการรีเฟลคแสงของผลึกน้ำแข็งในอากาศ จนสะท้อนลำแสงจากแหล่งกำเนิดแสงเข้าสู่ดวงตาของมนุษย์ ทำให้เห็นเป็นเสาแสงพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า โดย “เสาโอเบลิสก์” ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ปรากฏในปัจจุบันคือ “เสาโอเบลิสก์ของฟาโรห์ซีนุสเร็ตที่หนึ่ง” ในสมัยราชวงศ์ที่ 12 เป็นเสาหินแกรนิตแดง สูง 68 ฟุต หนัก 120 ตัน ปัจจุบันอยู่ในอียิปต์อย่างไรก็ดี เมื่ออาณาจักรอียิปต์โบราณเสื่อมอำนาจ และถูกครอบครองโดยจักรวรรดิโรมันได้มีการขนย้ายเสาโอเบลิสก์ไปยังดินแดนในอาณัติของโรมันเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันจึงปรากฏเสาโอเบลิสก์ในหลายๆประเทศยุโรป โดยในอียิปต์เหลือเสาลักษณะนี้อยู่เพียง 9 ต้น จาก 29 ต้น ทั่วโลก เมื่อถึงยุคกรีกโบราณ มีการสร้างอนุสรณ์ระลึกถึงเทพเจ้าเช่นกัน โดดเด่นสุดคือ “วิหารพาร์-เธนอน” บนเนินอะโครโพลิสในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถือเป็นเทวสถานบูชาเทพีอะธีนา นอกจากนี้ยังมี “อนุสรณ์ชัยชนะที่ซาโมเทรซ” เป็นประติมากรรมแกะสลักจากหินอ่อนรูปเทพไนกี เทพแห่งชัยชนะในเทพปกรณัมของกรีก สร้างเพื่อระลึกถึงชัยชนะของชาวกรีกในการรบที่ซาโมเทรซ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสแตกต่างทั้งความเชื่อและวิถีชีวิต ในยุคโรมันเรืองอำนาจ อนุสรณ์สถานที่ระลึกในโอกาสต่างๆ ปรากฏในรูปแบบพระบรมรูปของกษัตริย์, จักรพรรดิ, ประตูชัย และเสาหิน เช่น “เสาหินทราจัน” สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติจักรพรรดิทราจันแห่งอาณาจักรโรมัน ที่ได้ชัย ชนะในสงครามดาเชียน ปัจจุบันตั้งตระหง่านอยู่ที่จัตุรัสทราจัน ใกล้โบสถ์ซานตา มาเรีย ดิ โลเรโต กรุงโรม ประเทศอิตาลี มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เพราะออกแบบให้เป็นเสากลวงทรงกลม ความสูง 30 เมตร หนัก 1,100 ตัน สร้างจากหินอ่อนขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.7 เมตร จำนวน 20 ก้อน ต่อประกอบเข้าด้วยกัน เป็นต้นแบบของประติมากรรมรูปแกะสลักนูนต่ำที่ขดเป็นเกลียว ถ่ายทอดเรื่องราวสงครามระหว่างกองทัพโรมัน ภายใต้การนำของจักรพรรดิทราจันผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อถึงยุคกลาง มีการสร้างอนุสาวรีย์หลายรูปแบบ โดยเฉพาะตามเส้นทางจาริกแสวงบุญ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเส้นทางสำคัญที่สุดคือ เส้นทางเซนต์เจมส์ เป็นเส้นทางที่คริสต์ศาสนิกชนผู้แสวงบุญจากประเทศต่างๆในยุโรปใช้ในการเดินทางไปยังมหาวิหารซานเตียโก เด กอมโปสเตลา ที่เมืองซานเตียโก เด กอมโปสเตลา เมืองหลวงของแคว้นกาลิเซีย ประเทศสเปน ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสถานที่บรรจุชิ้นส่วนร่างกายของ “นักบุญยากอบ เบน เซเบดี” หรือพระอัครสาวกนักบุญเจมส์ผู้ยิ่งใหญ่ อัครทูตของพระเยซู ปรากฏอนุสรณ์สถานให้เห็นทั้งในรูปแบบเสาหินอ่อน, สุสานหิน, ไม้กางเขน และโบสถ์ข้ามไปสำรวจยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เมื่อมีการขุดค้นพบซากเมืองโบราณสมัยกรีกและโรมัน ทำให้มีการนำรูปแบบทางศิลปะมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบอนุสาวรีย์ ดังปรากฏให้เห็นจาก “อนุสาวรีย์ของผู้ปกครองแห่งมิลาน” ฝีมือออกแบบโดย “เลโอนาร์โด ดาวินชี” ศิลปินชื่อก้องของอิตาลี มีลักษณะเป็นเสาประดับลวดลายอย่างวิจิตร บนยอดเสาตั้งรูปเหมือนของผู้ปกครองแห่งมิลานขี่ม้ากระโจนเหนือศัตรูที่หมอบสยบอยู่เบื้องล่าง ถึงยุคบาโรกอันเรืองรอง อนุสาวรีย์ก็มาพร้อมกับความโอ่อ่าหรูหราสมฐานะ ในทวีปยุโรปสร้างไว้ยิ่งใหญ่ในลักษณะเดียวกับพระราชวัง, มหาวิหาร และโบสถ์ โดยเฉพาะในประเทศออสเตรีย, สโลวะเกีย และสาธารณรัฐเช็ก ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานขึ้นมากมาย เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์กาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป เป็นเหตุให้มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก นอกจากนี้ ในยุคบาโรกยังนิยมสร้าง “เสาพระแม่มารีและตรีเอกานุภาพ” ตามจัตุรัสกลางเมือง เพื่อระลึกถึงการรอดพ้นจากภัยกาฬโรคกระทั่งถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในยุควิคตอเรีย ยกให้เป็นยุคทองของการสร้างอนุสาวรีย์ก็ว่าได้ โดยจะเน้นความโด่งดังและความสำเร็จของบุคคล ตลอดจนเชิดชูความรุ่งเรืองของประเทศ รวมไปถึงสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญๆทางประวัติศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่า มีการสร้างอนุสาวรีย์ทั่วยุโรป เพื่ออุทิศให้เหล่าทหารกล้าที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ในยุคสมัยใหม่ การสร้างอนุสาวรีย์ถูกใช้เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ของเมือง เช่น “อนุสาวรีย์วอชิงตัน” ผู้ออกแบบวางผังเมืองกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งใจวางอนุสาวรีย์วอชิงตันเป็นศูนย์กลาง เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน โดยสร้างในลักษณะเสาโอเบลิสก์ ทำด้วยหินอ่อน, หินแกรนิต และหินทราย สูง 169 เมตร จากนั้นจึงกำหนดพื้นที่สำหรับสิ่งปลูกสร้างอื่นๆให้กระจายรอบอนุสาวรีย์ และถ้าพูดถึงยุคปัจจุบัน คงไม่มีอนุสาวรีย์ใดจะเป็นที่จดจำเท่า “อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ” บนเกาะลิเบอร์ตี้ มหานครนิวยอร์ก เป็นประติมากรรมสัมฤทธิ์รูปเทพีห่มเสื้อคลุม, มือขวาชูคบเพลิง, มือซ้ายถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา, เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาดแสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส และสวมมงกุฎ 7 แฉก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด โดยประชาชนชาวฝรั่งเศสได้มอบเป็นของขวัญแก่มหามิตรชาวมะกัน เนื่องในวันปลดแอกจากจักรวรรดิอังกฤษ.“อาคีรา”