นับเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษมาแล้วที่ “คิง เพาเวอร์” ได้เข้าไปช่วยพัฒนาสินค้า ชุมชนทั่วทุกภูมิภาคของไทย เพื่อส่งเสริมการสร้างอาชีพ และมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชุมชนต่างๆ ภายใต้การนำของเดอะบอสคนใหม่แห่งกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ “ต๊อบ-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” เปิดใจกับทีมข่าวหน้าสตรีไทยรัฐ ถึงความมุ่งมั่นที่อยากเห็นคนไทยได้แสดงความสามารถในระดับสากล ภายใต้ความเชื่อเต็มเปี่ยมว่า คนไทยทำได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก!!“สมัยก่อนผมทำทุกอย่างเพื่อคุณพ่อ อยากทำให้คุณพ่อหายเหนื่อยและสบายใจ แต่ตอนนี้ผมต้องทำทุกอย่างเพื่อพนักงานทุกคนในคิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณพ่อเป็นห่วงมากที่สุด”...ซีอีโอหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง บอกเล่าถึงความตั้งใจ ระหว่างนำคณะสื่อมวลชนไทยบุกเยือนสนามคิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ พร้อมชมคอลเลกชันสินค้าที่ระลึกใหม่ “From Leaves to Lively Thai Dye Collection” สร้างสรรค์จากความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ภายใต้โครงการกิจกรรมเพื่อสังคม “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ด้านชุมชน” กับสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ และชุมชนบ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการยกระดับสินค้าโอทอปไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก “คุณต๊อบ” แสดงวิสัยทัศน์ว่า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวอย่างมาก และร่วมรณรงค์ให้ช่วยกันลดละการทำลายธรรมชาติ โดย “คิง เพาเวอร์” สนับสนุนสินค้าไทยที่ใช้สีธรรมชาติเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องแล้วสามคอลเลกชัน สำหรับคอลเลกชันล่าสุด เป็นคอลเลกชันที่ 4 สร้างสรรค์ในแนวคิด “From Leaves to Lively Thai Dye Collection” เกิดจากความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ภายใต้โครงการกิจกรรมเพื่อสังคม “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ด้านชุมชน” กับสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ และชุมชนบ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช นับเป็นปีที่ 3 คอลเลกชันที่ 4 ที่เราได้นำสินค้าชุมชนมาอวดสายตาชาวโลกอีกครั้ง ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานแห่งความภาคภูมิใจ ที่ได้ร่วมเป็นคู่คิดและคู่ค้ากับชุมชน เพื่อชูจุดแข็งและภูมิปัญญาของชาวไทย โดยเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นผลงานงดงามน่าทึ่งในฐานะประธานสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ “คุณต๊อบ” ให้คำมั่นว่า เราตั้งใจผลิตคอลเลกชันพิเศษจากฝีมือคนไทยทุกปี หมุนเวียนเปลี่ยนชุมชนไปตามภาคต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ดีไซน์ใหม่ๆน่าสะสม โดยเข้ามาสนับสนุนชาวบ้านในเรื่องของการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ช่วยกันคิด ช่วยกันออกแบบ พัฒนาสินค้าให้ตรงใจผู้บริโภค และตอบโจทย์กับตลาดต่างประเทศ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ในการช่วยเหลือชุมชนให้สามารถสร้างอาชีพได้อย่างยั่งยืนจากความถนัดของตัวเอง เพื่อเป็นการเปิดตัวคอลเลกชันอย่างเป็นทางการ และประชาสัมพันธ์สินค้าฝีมือคนไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในสายตาคนทั่วโลก กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จึงได้ออกแบบเสื้อแจ็กเกตรุ่นพิเศษเพื่อให้นักเตะสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ใส่ลงสนามในช่วงพิธีเปิดการแข่งขันในวัน Boxing Day คือ วันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา ในศึกดวลแข้งกับสโมสรลิเวอร์พูล โดยเสื้อแจ็กเกตนี้เป็นการ Collaborate เทคนิคการย้อมสีระหว่างทางใต้จากชุมชนคีรีวง นครศรีธรรมราช (สีเหลืองทองช่วงล่าง) และทางเหนือจากชุมชนตะเคียนปม ลำพูน (สีฟ้าครามช่วงบน) พร้อมปักโลโก้สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่อกซ้าย และปักรูปธงชาติไทยที่แขนข้างซ้าย ส่วนธงชาติอังกฤษอยู่ที่แขนข้างขวา นับเป็นการนำพาผลงานของคนไทยไปสร้างชื่อเสียงไกลถึงระดับโลก ได้ตามปณิธานของ “คิง เพาเวอร์” สำหรับสินค้าในคอลเลกชันนี้ สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “Enchanted Wonderland” หรือมนต์เสน่ห์แห่งดินแดน มหัศจรรย์ เพื่อเชิดชูภูมิปัญญาและคุณค่า ทางวัฒนธรรมของผ้ามัดย้อมธรรมชาติที่เลือกใช้วัสดุในการย้อมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของทางภาคใต้ ด้วยฝีมือของชุมชนบ้านคีรีวง ต.กำโลน อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช กลายเป็นคอลเลกชันเสื้อผ้าและแอคเซสเซอรีผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติสไตล์โมเดิร์น สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์กับการแต่งกายในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว ทั้งเสื้อยืดแขนสั้น-แขนยาว, เสื้อเชิ้ต, หมวก, กระเป๋าสะพายหูรูด, กระเป๋าสะพายไหล่, กระเป๋าใส่เอกสาร, ลูกบอล และพวงกุญแจ รวม 17 แบบ มีวางจำหน่ายแล้วที่เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ, คิง เพาเวอร์ สาขารางน้ำ, พัทยา, ศรีวารี, ภูเก็ต, คิง เพาเวอร์ มหานคร รวมถึงภายในสนามบินดอนเมือง, สนามบินสุวรรณภูมิ, สนามบินภูเก็ต และสนามบินอู่ตะเภา สำหรับเบื้องหลังของการทำผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ ก็มีเสน่ห์ให้น่าเจาะลึกเช่นกัน โดยคอลเลกชันนี้เป็นการย้อมสีผ้าทั้งผืนและเสื้อผ้าสำเร็จรูปด้วยเทคนิคการมัด หรือพับด้วยวัสดุที่มีความทนทาน อย่างเช่น แผ่นไม้ และก้อนหิน แล้วมัดด้วยเชือกฟาง, เชือกกล้วย หรือหนังยางให้แน่น เพื่อกันสีซึมผ่าน หลังจากนั้นจึงนำไปย้อมสีธรรมชาติตามต้องการ ออกมาเป็น 4 สีหลัก ได้แก่ สีเทาอมน้ำเงิน จากใบคราม, สีส้มอมชมพู จากใบมังคุด, สีเหลือง จากใบหูกวาง และสีน้ำตาลอ่อน จากฝักสะตอ โดยกรรมวิธีการมัดย้อมธรรมชาติ ประกอบด้วย1) “การเตรียมน้ำด่าง” ซึ่งทางบ้านคีรีวง ใช้น้ำด่าง 2 ชนิด คือ น้ำด่างขี้เถ้าจากการเผาไม้ยางพารา และน้ำด่างขี้เถ้าจากเปลือกหอยแครงเผา2) “การเตรียมน้ำย้อมสี” โดยนำส่วนต่างๆของพืช เช่น ใบไม้, เปลือกไม้, แก่นไม้, ดอกไม้ มาต้มไว้ 5-8 ชั่วโมง กรองเฉพาะน้ำสีด้วยผ้าขาวบาง แยกกากออกมา เพื่อนำไปมัดย้อมต่อไป3) “การฟอกผ้า” จะนำผ้าฝ้ายมาฟอกก่อน โดยต้มกับน้ำเปล่า หรือน้ำด่างขี้เถ้าจากไม้ยางพารา เพื่อชะล้างคราบแป้งและไขมันที่เกาะอยู่บนผ้า แล้วซักด้วยน้ำเปล่า บิดพอหมาด เพื่อนำไปมัดลายต่อไป4) “การมัดลาย” เทคนิคที่ใช้มี 3 วิธี คือ วิธีมัดแล้วพับ เป็นการพับผ้าให้เป็นรูปต่างๆ แล้วมัดด้วยยางหรือเชือก ทำให้ผ้ามีสีอ่อนด้านหนึ่งและเข้มด้านหนึ่ง, วิธีขยำแล้วมัด เป็นการขยำผ้าอย่างไม่ตั้งใจแล้วมัดด้วยยางหรือเชือก ลวดลายที่ได้จะเป็นลวดลายอิสระ การขยำผ้าแต่ละครั้งไม่สามารถควบคุมการทับซ้อนของผ้าได้ จึงได้ลวดลายที่ไม่ซ้ำแบบ และวิธีห่อแล้วมัด เป็นการใช้ผ้าห่อวัตถุต่างๆ แล้วมัดด้วยยางหรือเชือก ลายที่เกิดจะเป็นลายใหญ่เล็ก ขึ้นอยู่กับวัตถุที่นำมามัด เช่น การนำผ้ามามัดด้วยก้อนหินรูปทรงแปลกๆ นำมามัดไขว้ไปมา เว้นจังหวะของการมัดให้มีพื้นที่ว่างเพื่อให้สีซึมเข้าไปได้ จะเกิดความสวยงามแปลกตากว่าการมัดด้วยวิธีอื่นๆ5) “การย้อม” นำผ้าที่มัดลายแล้วไปต้มกับน้ำสีที่เตรียมไว้ 3 ชั่วโมง โดยใช้เตาไร้ควัน และทุก 1 ชั่วโมง นำผ้ามัดย้อมล้างในน้ำด่าง หรือน้ำขี้เถ้า หรือน้ำโคลนแดง หรือน้ำปูน แล้วย้อมสีอีกครั้ง เมื่อย้อมเสร็จจึงนำไปผึ่งในที่ร่ม แล้วเข้าสู่กระบวนการตัดเย็บต่อไป นอกจากจะพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชน ทำให้เติบโตได้อย่างเข้มแข็ง มีช่องทางการตลาดเพิ่มขึ้น และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จนนำไปสู่การกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน ยังเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญว่า คนไทยทำได้ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ!!ทีมข่าวหน้าสตรี