เมื่อเอ่ยชื่อถึงภูเขาไฟวีซูเวียส (Mount Vesuvius) เชื่อแน่ว่า แฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน น่าจะคุ้นๆชื่อนี้ และถ้าบอกเพิ่มว่าวีซูเวียส คือภูเขาไฟที่ทำให้เมืองปอมเปอี (Pompeii) ล่มสลาย แฟนานุแฟนก็คงจะร้องอ๋อกันทุกคนวีซูเวียสเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 ทำให้เมืองปอมเปอีที่เคยรุ่งเรืองกลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ ปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าและลาวา ที่กลายเป็นเครื่องมือในการ “ผนึก” เมืองนี้ไว้ในสภาพเดิม กลายเป็นสุสานใหญ่ที่ไม่สามารถลืมได้ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาอดีต และความตายอันน่าเวทนาได้อย่างชัดเจนเมืองที่เป็น “เหยื่อ” ของวีซูเวียส ไม่ได้มีแค่ปอมเปอีนะคะ ยังมีเมืองเฮอร์คิวเลเนียม (Herculaneum) เมืองข้างเคียงซึ่งห่างจากปอมเปอีไป 11 ไมล์ ก็พินาศลงด้วยความพิโรธของภูเขาไฟวีซูเวียสนี้พร้อมๆกันด้วย และจะว่าไป เฮอร์คิวเลเนียม เป็นเมืองแรกที่ถูกมรณะถาโถมเข้าใส่ เพราะอยู่ใกล้วีซูเวียสมากกว่า ตามบันทึกบอกว่า เกิดขี้เถ้าภูเขาไฟตกลงมายังเฮอร์-คิวเลเนียมจำนวนมาก คือ สูงตั้ง 8 นิ้ว บวกกับลาวาร้อนๆอีกจำนวนมาก แม้ประชาชนจะพากันหนีตาย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่รอด ประชากรของเฮอร์คิวเลเนียมถูกฝังไปพร้อมๆกับเมืองที่เคยโอ่อ่า อยู่ใต้ซากหินภูเขาไฟหนาตั้ง 20 เมตร และเมืองเฮอร์คิวเลเนียมนี่แหละค่ะ ที่จะเป็นหัวใจของกรณีศึกษาที่เราจะมาว่ากันในวันนี้ การระเบิดของภูเขาไฟวีซูเวียสต้องเล่าก่อนว่า ผลการศึกษาร่างผู้เสียชีวิต ณ ปอมเปอีที่มีการขุดค้นกันมาตั้งแต่ ค.ศ.1748 และยังคงมีการขุดค้นเรื่อยๆมาจนปัจจุบันนั้นทำให้มีเกิดสมมติฐานที่ว่า เหยื่อของวีซูเวียสสิ้นใจเพราะความร้อน บวกกับแก๊สพิษ และเถ้าถ่านหนาที่ทะลักออกมาจากภูเขาไฟ ทำให้หายใจไม่ได้ แต่ผลการศึกษาใหม่ที่เฮอร์คิวเลเนียม ทำให้นักวิจัยได้ทราบว่า ภูเขาไฟวีซูเวียสได้สังหารเหยื่อของภัยพิบัติครั้งนั้นด้วยวิธีทารุณ และน่าสยดสยองกว่าที่เคยคิดกันไว้ นั่นคือ พวกเขา “เลือดเดือด” จนตายผลงานการวิจัยของคณะวิจัยจากเนเปิลส์ ที่ตีพิมพ์ใน PLOS One บอกว่า เหยื่อส่วนหนึ่งของภูเขาไฟวีซูเวียสน่าจะตายด้วยลาวาร้อนที่ไหลลงมาอย่างรวดเร็ว และด้วยความร้อนที่สูงมากนี่เอง ทำให้ของเหลวในร่างกายเกิดเดือดพล่าน แล้วระเหยกลายเป็นไอ ตามมาด้วยแรงดันมหาศาลที่เกิดขึ้นภายใน จนเกิดการระเบิดในกะโหลก ถือเป็นการตายที่น่ากลัวจนไม่อยากจะนึกภาพตามเลยจริงๆปิแอร์ เปาโล เปโตรเน่ (Pier Paolo Petrone) นักวิทยาศาสตร์จาก Federico II University Hospital ในเนเปิลส์ ผู้นำคณะวิจัยนี้บอกว่า การศึกษาจากสถานที่จริง และการทดลองในห้องปฏิบัติการ ล้วนให้คำตอบที่สำคัญมาก คือ ไม่เพียงแต่จะทำให้ เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในยุคกระโน้นแต่ยังได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากภูเขาไฟระเบิดในพื้นที่ ที่ปัจจุบันมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นมากกว่าเมื่อเกือบ 2 พันปีก่อนได้อย่างแจ่มแจ้งเปโตรเน่บอกว่า ในช่วงเวลาที่ภูเขาไฟวีซูเวียสระเบิดเมื่อ ค.ศ.79 นั้น มันมีความรุนแรงมากกว่า 1 แสนเท่าของระเบิดนิวเคลียร์ที่ถูกหย่อนไปในญี่ปุ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้ง 2 ลูกเลยด้วยซ้ำ โดยเริ่มต้นด้วยเถ้าถ่านที่ปกคลุมเมืองทั้งหมด แล้วเกิดของเหลวร้อนไหลลงมา โดยผลจากการ วาระสุดท้ายของปอมเปอีตรวจสอบร่างของเหยื่อกว่า 100 ร่างในเฮอร์คิวเลเนียม พบว่า ร่างของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยหินร้อน ซึ่งในขณะเกิดเหตุ มันมีอุณหภูมิสูงถึง 400-900 องศาฟาเรนไฮต์ และลาวาที่ว่า ไหลทะลักมาด้วยความเร็วเกือบ 180 ไมล์ต่อชั่วโมง เป็นความร้อนที่มาอย่างรวดเร็วจนไม่รู้จะวิ่งหนีไปไหนได้และจากการศึกษาก่อนหน้านี้ คณะวิจัยได้เคยพบจุดสีดำและแดงที่ตกค้างในกระดูก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ว่าจุดเหล่านี้เกิดจากอะไร จนมีอุปกรณ์ใหม่ๆมาใช้ในการศึกษา ทำให้ได้ข้อมูลเพิ่มว่า จุดที่เห็นคือ สารตกค้างที่เหลือของธาตุเหล็ก ที่เกิดจากการเดือดของของเหลวในร่างกาย ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ เลือด จึงเป็นที่มาของข้อสรุปที่ว่า พวกเขาตายเพราะเลือดเดือดอย่างที่ว่า แล้วพอเลือดเดือด ก็เกิดความดันที่เนื้อเยื่อและกระดูก ที่มีความแรงมากพอที่จะทำให้กะโหลกระเบิดออกมา ทำให้คณะวิจัยได้พบซากของผู้วายชนม์ที่กะโหลกแตกเป็นชิ้นๆ สอด คล้องกับผลการศึกษาที่ว่า เกิดการระเบิดออกมาจากภายในอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้แม้จะฟังดูทารุณและน่าสลดใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้คือ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก จากท่าทางของกระดูกที่เหลือ บ่งชี้ให้เห็นว่า มีเวลาน้อยมากที่พวกเขาจะได้พบความเจ็บปวด หรือมีปฏิกิริยาต่อต้านใดๆ เรียกว่า แม้จะตายอย่างสาหัส แต่ก็ตายเร็วเพียงในพริบตา จึงพอจะเบาใจได้ว่า พวกเขาไม่น่าจะรู้สึกเจ็บปวดทรมานกันนักเปโตรเน่บอกว่า ผลการศึกษาสาเหตุความตายของประชากรเฮอร์คิวเลเนียมนี้ คงไม่เหมือนกับสาเหตุการตายที่ปอมเปอี เพราะประชากรในแต่ละเมืองได้เจอชะตากรรมที่แตกต่างกันตามระยะที่อยู่ห่างจากภูเขาไฟ โดยคนที่อาศัยในเฮอร์คิวเลเนียมที่ใกล้วีซูเวียสมากกว่า ก็เจอความร้อนสูงกว่า ทำให้ต้องพบจุดจบแบบที่เรียกว่า ตายโหดกว่า ส่วนที่ปอมเปอีนั้นยังห่างไกลออกไป ดังนั้นแม้ว่า “ความร้อน” จะเป็นตัวการที่มาพรากชีวิตพวกเขาเหมือนกัน แต่ชาวปอมเปอีก็ไม่ถึงกับเลือดเดือด โครงกระดูกชาวเฮอร์คิวเลเนียมถึงกระนั้น ก็มีผู้ตั้งข้อสงสัยในผลการศึกษานี้ คือ จูเซปเป มัสโทรโลเรนโซ (Giuseppe Mastrolorenzo) นักวิทยาภูเขาไฟ (volcanologist) จาก National Institute of Geophysics and Volcanology ในกรุงโรม ที่บอกว่า แม้ความร้อนเป็นเหตุแห่งการเสียชีวิต แต่การที่บอกว่าเหยื่อของวีซูเวียสเกิดอาการเลือดเดือดจนระเหยเป็นไอนั้น อาจจะไม่ใช่คำอธิบายที่ถูกต้อง และหากศึกษาลงลึกต่อไปอีก ก็อาจจะพบว่าคำตอบที่ถูกต้องนั้นเป็นคนละเรื่องเดียวกันก็ได้ และการตรวจสอบจากเลือด ก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดในการศึกษาแบบนี้ แต่ควรจะมีการตรวจทานเพิ่มเติม เพราะยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่า กลไกอะไรที่ทำให้ร่างกายของพวกผู้เสียชีวิตถูกผนึกลักษณะท่าทางเอาไว้เหมือนถูกแช่แข็งไว้ก่อนตาย ทำให้คนรุ่นเราๆได้มาเห็นอากัปกิริยาต่างๆขณะเสียชีวิตของพวกเขาได้อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตาม มัสโทรโลเรนโซก็เห็นด้วยกับเปโตรเน่ในข้อที่ว่า การศึกษานี้จะเป็นแนวทางสู่การวิจัยเพิ่มเติมในอนาคต และจะเป็นประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงของภูเขาไฟวีซูเวียส ที่ตอนนี้ยังเป็นภูเขาไฟที่มีฤทธิ์อยู่ ไม่ใช่ภูเขาไฟที่ดับสนิทไปแล้ว แต่ยังอาจจะเกิดการปะทุ หรือระเบิดขึ้นมาได้อีก และในปัจจุบันมีประชากรที่อาศัยใกล้วีซูเวียสมากกว่า 3 ล้านคน ซึ่งควรจะพยายามตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างน้อยการศึกษาเรื่อยๆ ทำให้ได้รู้ว่า อุณหภูมิที่สูงจัดเป็นเหตุสำคัญของการตาย เมืองเฮอร์คิวเลเนียมในปัจจุบันซึ่งในตอนนี้ เมืองเนเปิลส์ที่อยู่ใต้เงื้อมเงาของวีซูเวียส ก็ไม่มีแผนอพยพในกรณีที่ภูเขาไฟอาจจะพิโรธขึ้นมาอีก มัสโทรโลเรนโซมีความเห็นว่า การอยู่ใกล้วีซูเวียสนั้น มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดเหตุร้ายได้ตลอดเวลา ในระดับความรุนแรงที่ไม่ต่างจากเมื่อ ค.ศ.79 ดังนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยกับผลการศึกษาของเปโตรเน่ แต่ก็คิดว่า ผลการศึกษานี้จะทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ภาครัฐได้ตระหนักและตื่นตัวกับเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ต่อไปและดังได้กล่าวไว้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกของเรื่องนี้ว่า เหตุการณ์ภูเขาไฟวีซูเวียสระเบิดนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 แต่...วันที่เชื่อกันมานานนี้ จะถูกต้องจริงหรือ?? ปากปล่องภูเขาไฟวีซูเวียสถึงตอนนี้ นักวิจัยชักจะบอกว่า วันที่ภูเขาไฟวีซูเวียสระเบิดนั้น น่าจะ “ช้า” กว่าที่เคยรับรู้กัน เนื่องจากนักโบราณคดีในอิตาลี ได้ค้นพบร่องรอยขีดเขียน ที่อาจจะทำให้หนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนๆ กันมาหลายศตวรรษอาจจะผิด เพราะจริงๆแล้วเหตุสยดสยองนี้อาจจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมต่างหากก่อนหน้านี้เชื่อกันว่า วันเกิดเหตุคือ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 เพราะอ้างอิงหลักฐานทางประวัติ-ศาสตร์มาจากพลินีผู้เยาว์ (Pliny the Younger) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ.61-112 ที่บอกว่า ได้เห็นเหตุการณ์โดยตรง และเป็นผู้เขียนจดหมายถึงแทคซิตัส (Tacitus) เพื่อนผู้เป็นนักประวัติศาสตร์ว่า พลินีผู้อาวุโส (Pliny the Elder) คุณลุงผู้มีชื่อเสียงของเขาก็เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ โดยพลินีผู้เยาว์บันทึกว่า เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม คุณลุงของเขาซึ่งเป็นผู้บังคับกองทหารที่ไมเซนัม (Misenum) ซึ่งอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งทะเลกับปอมเปอีได้เอาเรือออก เพื่อจะไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากวีซูเวียส แต่ท่านผู้เฒ่าก็ไม่ได้กลับมา ปอมเปอีในปัจจุบัน ด้านหลังคือภูเขาไฟวีซูเวียสพลินีผู้เยาว์บอกว่า ในตอนนั้น เขาเฝ้ามองการระเบิดและการถล่มพังทลายย่อยยับจากอีกด้านหนึ่งของอ่าว เขาจึงเป็นพยานในเหตุการณ์สำคัญอันโหดร้ายนี้ หรือจะว่าไปก็คือ เขาได้เห็น ได้รับรู้ทันทีที่เหตุการณ์เกิดขึ้น อย่างไร ก็ตาม จดหมายที่เป็นหลักฐานของเรื่องนี้ เป็นจดหมายที่เขาเขียนขึ้นภายหลังไปอีกตั้งราว 20 ปี แถมเอกสารที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่จดหมายต้นฉบับ แต่เป็นสำเนาที่ทำต่อๆกันมา ทำให้อาจจะมีความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ได้มีการค้นพบครั้งล่าสุดที่ปอมเปอี คือ พบตัวอักษรเป็นลายมือเขียนด้วยถ่านบนกำแพง ณ จุดขุดค้นใหม่ คือโซน เรจิโอ 5 (Regio V) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่เคยถูกขุดค้นมาก่อน โดยลายมือที่พบนี้อาจจะเป็นลายมือของคนงานที่กำลังซ่อมแซมบ้าน (หรือคนมือบอนทั่วไป??) ที่เขียนตัวเลขไว้ว่า เป็น 16 วันก่อนเดือนพฤศจิกายน อันเป็นวิธีการเขียนแบบปฏิทินโรมันสมัยโบราณ เทียบเท่ากับวันที่ 17 ตุลาคมในการเขียนแบบปัจจุบัน และลายมือที่เขียนที่ใช้ถ่านเขียนนี้ ปกติแล้วเป็นสิ่งที่น่าจะอยู่ได้ไม่นาน คือ ถ้าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น มันก็ควรลบเลือนไปแล้ว แต่การที่ปอมเปอีถูก “ผนึก” เมืองเอาไว้ ลายมือนี้ก็เลยยังปรากฏอยู่เด่นชัด ทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่า แม้ผู้เขียนจะไม่ได้ระบุปี แต่ปีที่เขียนขึ้นก็น่าจะเป็นปีเดียวกับที่เมืองถูกผนึก นั่นคือปี ค.ศ.79 ซึ่งเป็นปีที่ภูเขาไฟระเบิด และทำให้ทุกอย่างในปอมเปอีถูก “หยุดเวลา” เอาไว้ภายใต้เถ้าถ่านและกองหิน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่า วันเกิดเหตุอาจจะเป็น 24 ตุลาคมมากกว่า 24 สิงหาคม ร่างชาวปอมเปอีที่ถูกผนึกไว้ในท่าทางก่อนตายก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์อยู่แล้วว่า วันที่เกิดเหตุไม่น่าจะเป็นเดือนสิงหาคมไปได้ เพราะในการขุดค้น ได้เคยพบผลไม้ของฤดูใบไม้ร่วงที่ไม่ควรจะมีในเดือนสิงหาคม แถมยังพบเตาไฟให้ความอบอุ่นในบริเวณที่ถูกทำลายด้วย แสดงว่าความหนาวได้มาเริ่มมาเยือนปอมเปอีแล้วในตอนที่วีซูเวียสพ่นความร้อนออกมา การค้นพบลายมือที่เขียนวันที่เอาไว้ครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนทฤษฎีนั้น และจะว่าไป การขีดๆเขียนๆ ไม่ว่าเขียนเล่น หรือเขียนจริงจังของคนสมัยก่อน ก็กลายเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์มาแล้วในหลายๆกรณี ส่วนกรณีนี้ยังคงต้องใช้เวลาถกเถียงกันอีกมากกว่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนแต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ที่แน่นอนแล้วก็คือ ภูเขาไฟวีซูเวียส ได้เคยระเบิดครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.79 ทำให้ประชากรของปอมเปอี และเฮอร์คิวเลเนียม ต้องพบภัยพิบัติอันน่าสยองขน และคำเตือนของนักวิชาการอย่างมัสโทรโลเรนโซกับเปโตรเน่ เป็นคำเตือนที่ไม่ควรมองข้าม ในประเด็นที่ว่า ตอนนี้วีซูเวียสแค่กำลังหลับอยู่ หากวันใดที่ภูเขาไฟแห่งนี้ตื่น และพ่นพิษสงออกมาอีกครั้ง เห็นทีชาวเนเปิลส์จะเดือดร้อนหนักหากไม่มีแผนการป้องกัน หรือแผนอพยพอันมีประสิทธิภาพไว้รอล่วงหน้า ข้อความที่เขียนว่า 16 วันก่อนเดือนพฤศจิกายนหากเจ้าหน้าที่รัฐใส่ใจ จะเข้าใจได้ว่าการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีนั้นเป็นประโยชน์ต่อแนวคิดในปัจจุบันด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการศึกษาเกี่ยวกับภัยพิบัติ หรือสิ่งที่เราๆท่านๆไม่อยากให้มันเกิดซ้ำรอย.โดย : พันธ์สุภาทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน