สำนักข่าว “เดอะ ดิโพลแมท” ของญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ยังอธิบายถึงการฟาดฟันข้อมูลข่าวสารของ “กัมพูชา” ต่อไปว่า ในช่วงปี 2561 ถือเป็นห้วงเวลาที่เรียกได้ว่า สื่ออิสระของกัมพูชาไม่หลงเหลืออีกต่อไปและยังตรงกับช่วงเดียวกันที่พรรครัฐบาลประชาชนกัมพูชา (CPP) ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในสภาผู้แทนราษฎร คว้าเก้าอี้ไปทั้งหมด 125 ที่นั่ง กุมอำนาจอย่างสมบูรณ์สำหรับนักข่าวที่ยังพยายามเปิดเผยข้อมูลเชิงตรวจสอบ ไม่ว่าจะเรื่องคอร์รัปชัน การกลั่นแกล้งทางการเมือง การฮุบที่ดิน มักตกเป็นเป้าของการสอดแนม ก่อกวนคุกคาม เนรเทศ หรือจำคุก ตัวอย่างคืออดีตผู้สื่อข่าวของเรดิโอ ฟรี เอเชีย (RFA-ที่ปิดตัวไปในปี 2560) 2 คนคือนายอุน ชิน และนายเยียง โสเทียริน ถูกจับกุมและตั้งข้อหาลักลอบส่งข้อมูลให้รัฐบาลต่างชาติ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปีตามด้วยกรณีของเมฆ ดารา นักข่าวสืบสวนที่เปิดโปงกระบวนการหลอกลวงทางออนไลน์และการคอร์รัปชัน ก็ถูกตั้งข้อหาบ่อนทำลายสังคมเมื่อเดือน ก.ย.2567 เช่นเดียวกับเกรัลด์ ฟลินน์ ผู้สื่อข่าวสายสิ่งแวดล้อมชาวอังกฤษ ที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ หลังรายงานข่าวผู้ทรงอิทธิพลในกัมพูชาพัวพันกับคดีทำลายธรรมชาติเรื่องราวเหล่านี้ถือเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าทำไมถึงเกิดคำถามว่าสภาพแวดล้อมของสื่อมวลชนในกัมพูชาจึงมีความแตกต่างกับประเทศไทย และทำไมช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. เลยแทบไม่มีรายงานจากสื่อนอกที่เผยแพร่เรื่องราวและข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชาบทความยังระบุต่อไปว่า สถานการณ์ที่กำลังดำเนินไปจึงดูเหมือนว่าชาวกัมพูชาเองก็เริ่มชินกับกรอบความคิดที่ว่า การพูดอะไรมากย่อมเป็นอันตรายต่อตัวเอง และมีบางสิ่งที่ไม่สามารถพูดออกสาธารณะได้เลย นอกจากนี้ การได้รู้จักกับคนจากกัมพูชาในระยะหลัง ดูเหมือนจะไม่มีใครที่กังวลเรื่องเสรีภาพสื่อมวลชนแต่ทันทีที่เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งกับไทย กลับกลายเป็นว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นเดือดเป็นร้อนกับข้อมูลข่าวสารที่สร้างความเข้าใจผิด และโวยวายว่าสื่อต่างประเทศไบแอสเลือกข้างไปอยู่กับฝ่ายไทยจึงประเมินได้หรือไม่ว่า ในท้ายที่สุดแล้ว กัมพูชาไม่มีทางชนะในเรื่องข้อมูลข่าวสาร เพราะการปิดปากสื่ออย่างเบ็ดเสร็จ ย่อมไม่สามารถไปเรียกร้องขอให้ช่วยฟังฉันหน่อยจากใครได้เลย.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม