เป็นเวลาผ่านมากว่า 8 เดือน ที่ประเทศซีเรียอยู่ภายใต้ความดูแลของ “รัฐบาลใหม่” ที่เข้ามาโค่นล้มประธานาธิบดี “บาชาร์ อัล อัสซาด” ลงจากอำนาจเมื่อเดือน ธ.ค.2567เหล่าชาติตะวันตกพากันแซ่ซ้องว่า ในที่สุดชาวซีเรียก็เป็นอิสระจากเผด็จการตระกูลอัสซาด นับเป็นประวัติศาสตร์บทใหม่ของประชาชนในชาติอันเก่าแก่แห่งภูมิภาคตะวันออกกลางทุกคนแสดงจุดยืนสนับสนุนผู้บริหารคนใหม่ “อาห์เหม็ด อัล-ชาราอา” ที่แปรสภาพจากแกนนำกลุ่มกบฏมาเป็นผู้บริหาร จากใส่ชุดนักรบกบฏมาเป็นใส่สูทผูกไท และออกเดินสายเจรจากับบุคคลสำคัญระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส หรือโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ“อาห์เหม็ด อัล-ชาราอา” หรือชื่อ-นามสกุลเก่า “อาบู โมฮัมหมัด อัล-โจลานี” แกนนำกองกำลังติดอาวุธ “ฮายัต ทาห์รี อัล-ชาม” (HTS) ซึ่งมีชื่อเก่าว่า “จาบัต อัล-นุสรา” หนึ่งในกองกำลังติดอาวุธใต้สังกัดของกองกำลังรัฐอิสลาม (ISIS) และกลุ่มก่อการร้ายสากล “อัล-เคดา” นั่นเองแน่นอนว่า “คนเราควรให้โอกาสกัน” แม้ว่าจะมีปูมหลังเช่นไร เพียงแต่ซีเรีย ณ เพลานี้ เต็มไปด้วยการเข่นฆ่า...ไม่ต่างอะไรกับช่วงสงครามกลางเมือง ที่กลุ่มกบฏต่างๆภายใต้การสนับสนุนของชาติตะวันตก พยายามโค่นล้มรัฐบาลซีเรียบาชาร์ อัล อัสซาด...ไม่ได้มีสภาพบ้านเมืองที่ดีขึ้นกว่าเดิมที่สำนักข่าวต่างประเทศเพิ่งจะมารายงานในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ตอกย้ำความเลวร้าย โดยเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในจังหวัดสุไวดา ทางตอนใต้ของกรุงดามัสกัส มีต้นตอมาจากความขัดแข้งทาง “ชาติพันธุ์” เกิดการปะทะระหว่างกลุ่มชาวเบดูอินกับชนกลุ่มน้อยชาวดรูเซสำหรับกลุ่มเบดูอินส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ แต่สำหรับชาวดรูเซมีความต่างออกไป ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิม แต่นับถือศาสนาสายอิบรอฮิม (ศาสนากลุ่มอับราฮัมประกอบด้วยคริสต์ อิสลาม และยิว)จนเป็นที่มาของการแทรกแซงโดยกองทัพอิสราเอล ที่ปฏิบัติการทิ้งระเบิดกระตุ้นรัฐบาลซีเรียใหม่ ให้ส่งกำลังพลเข้าปกป้องกลุ่มชาติพันธุ์ดรูเซ เนื่องด้วยอิสราเอลกับชาวดรูเซถือว่ามีความเกี่ยวดองกัน ในอิสราเอลมีชาวดรูเซอาศัยอยู่ประมาณ 150,000 คน และราว 20% ถือสัญชาติอิสราเอลอย่างเป็นทางการอย่างไรก็ตาม การเข้าแทรกแซงของอิสราเอลอาจถูกเรียกว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว หากเหตุการณ์เข่นฆ่าทางชาติพันธุ์เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนภายใต้รัฐบาลใหม่ซีเรียเพราะตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานที่น่าวิตกกังวลอยู่หลายครั้งในเรื่องการเข่นฆ่ากลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ของกลุ่มชาวอาลาวี ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ สมาชิกกองกำลังติดอาวุธหัวรุนแรง รวมถึงหน่วยความมั่นคง HTS ในสังกัดรัฐบาลซีเรียใหม่ ได้ไล่ล่าฆ่าชาวบ้านในลักษณะสังหารหมู่จากการเปิดเผยของกลุ่มเฝ้าระวัง การลงพื้นที่ของผู้สื่อข่าวต่างประเทศไปจนถึงภาพถ่ายทางดาวเทียม ต่างระบุตรงกันถึงบรรยากาศความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนในชนบทต่างๆ เมืองทาร์ทัสซึ่งเคยขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์ชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน กลายเป็นเมืองสุสาน ชาวบ้านถูกจับมาเรียงรายยิงเป้าด้วยข้อกล่าวหาสนับสนุนรัฐบาลเก่า หรือนับถือศาสนา “ไม่ถูกต้อง” และนำไปกลบฝังในหลุมขนาดใหญ่ปากคำของผู้รอดชีวิตยังเล่าว่า กลุ่มนักรบที่เข้ามาก่อเหตุไม่พูดภาษาซีเรีย แต่พูดทั้งภาษาเชเชน ภาษาอุซเบก ภาษาอาระบิกจากแอฟริกาเหนือ และเหมือนถูกได้รับคำสั่งให้มาฆ่า ไม่มีการเจรจาต่อรอง ทำเหมือนนักล่าสัตว์ที่มาออกทัวร์ซาฟารี ชาวบ้านกว่า 50 คนยังเล่าเหมือนกันว่า กลุ่มติดอาวุธมาเคาะประตูบ้านถามว่าเป็นสุหนี่หรืออาลาวี คนที่ตอบอย่างหลังไม่มีโอกาสรอดชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ กลุ่มเฝ้าระวังยังยืนยันว่า ภายในช่วงเวลา 72 ชั่วโมง มีชาวบ้านถูกฆ่าล้างไปอย่างน้อย 1,300 ศพ ขณะที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนในอังกฤษประเมินว่า มีพลเรือนราว 830 คน ถูกสังหารเสียชีวิตแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์เข่นฆ่ากลุ่มชาติพันธุ์มีความเชื่อมโยงกับ “รัฐบาลซีเรียใหม่” หรือไม่ แต่หากดูประวัติที่ผ่านมาของกลุ่ม HTS ภายใต้การนำของ “อาห์เหม็ด อัล-ชา ราอา” ก็เคยก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยาซิดีในเมืองซินจาร์ เมื่อปี 2557 (ช่วงที่อยู่ใต้สังกัดกองกำลังรัฐอิสลาม) มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,000 ศพ ตามด้วยปฏิบัติการฆ่าล้างชาวเคิร์ดในพื้นที่เมืองอาฟริน ทางภาคเหนือของซีเรีย เมื่อปี 2561 มีผู้เสียชีวิตหลักร้อยคน บ้านเรือนถูกเผาทำลายไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 200,000 คนทั้งยังมีข้อสังเกตด้วยว่า ทุกวันนี้รัฐบาลซีเรียใหม่ยังคงเลี้ยงกองกำลังติดอาวุธหัวรุนแรงไว้ในสังกัด ซึ่งจำนวนนี้รวมถึงนักรบรับจ้างต่างชาติหลายพันคน ที่มีความเกี่ยวข้องกับกองกำลังรัฐอิสลาม แน่นอนว่าชาติตะวันตกย่อมหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นเหล่านี้ เนื่องจากผิดเป้าประสงค์ของเกมการเมืองที่ตัวเองกำหนดไว้ เพียงแต่สิ่งที่น่าวิตกกังวลอย่างหนักคือ พอถึงวันที่มาพูดกันเรื่องนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกฆ่าไปเรื่อยๆจะไม่ใช่แค่อาลาวี ดรูเซ แต่อาจรวมถึงชาวซีเรียคริสต์หรืออื่นๆอีกมากมาย.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม