18 พฤษภาคม ค.ศ.1974 นายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี ของอินเดีย สั่งให้มีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ที่ทะเลทรายทาร์ใกล้เมืองโปขรัณ รัฐราชสถาน ใกล้ชายแดนปากีสถาน โดยให้ใช้ชื่อ Operation Smiling Buddha (รหัสโปขรัณ-I) ที่แปลว่า “ปฏิบัติการว่าพุทธะแย้มสรวล” เป็นการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินที่มีพลังงานประมาณ 8 กิโลตัน (ความเห็นของผู้เขียน-อินเดีย ไม่ควรเอาองค์พระศาสดาของศาสนาพุทธไปเกี่ยวดองหนองยุ่งกับอาวุธนิวเคลียร์ทำล้างชีวิตมนุษย์)อินเดียจึงเป็นประเทศที่ 6 ของโลกที่ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ต่อจากสหรัฐฯ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน11 และ 13 พฤษภาคม ค.ศ.1998 อินเดียที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อาตัล พิฮารี วัจปายี จัดให้มีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่สอง ที่ทะเลทรายทาร์ ใกล้เมืองโปขรัณอีกครั้ง คราวนี้ใช้ชื่อปฏิบัติการว่า ‘โปขรัณ–II’ ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ 5 ลูก (3 ลูก วันที่ 11 และ อีก 2 ลูก วันที่ 13) เป็นระเบิดฟิวชันพลังงาน 45–60 กิโลตัน Shakti II–V เป็นระเบิดฟิชชันขนาดเล็ก 0.2–15 กิโลตัน เพื่อทดสอบดีไซน์สำหรับหัวรบขีปนาวุธและยุทธวิธีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่สองของอินเดีย แสดงให้เห็น ศักยภาพอาวุธนิวเคลียร์เต็มรูปแบบ ทั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ สามารถติดตั้งบนขีปนาวุธ อินเดียส่งสารเชิงยุทธศาสตร์ถึงจีน และปากีสถาน28 พฤษภาคม ค.ศ.1998 นายนาวาซ ชารีฟ นายกฯปากีสถานทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรก ภายใต้ชื่อปฏิบัติการชาไก-I ซึ่งเป็น การทดสอบนิวเคลียร์ 5 ลูก ที่เขตทดสอบใต้ดินในภูเขาราสโคห์ จังหวัดบาลูจิสถาน30 พฤษภาคม ค.ศ.1998 ปากีสถานทดสอบเพิ่มเติมอีก 1 ครั้งภายใต้ชื่อปฏิบัติการชาไก-II พลังงานระเบิดโดยประมาณ 6-40 กิโลตัน ปากีสถานเป็นประเทศที่ 7 ของโลกที่มีอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการค.ศ.2025 ปากีสถานมีคลังแสงนิวเคลียร์ 170 หัวรบ มีขีดความ สามารถในการส่งหัวรบผ่านขีปนาวุธระยะไกลอย่างชาฮีน-IIIซึ่งมีพิสัยไกลถึง 2,750 กิโลเมตร ปากีสถานไม่ได้เป็นภาคีของสนธิ สัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ โดยมีนโยบายการใช้ก่อน (first-use policy) หากเผชิญกับภัยคุกคามอินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์ 172-180 หัวรบ และมีขีปนาวุธอัคนี-V ซึ่งมีพิสัยไกล 5,500-8,000 กิโลเมตร สามารถติดตั้งหัวรบ แบบ MIRV ทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายหลายแห่งพร้อมกันปัจจุบันอินเดียอยู่ในระหว่างการพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปอัคนี-VI ที่มีพิสัยไกลถึง 8,000-12,000 กิโลเมตร สามารถติดตั้ง หัวรบได้มากกว่า 10 หัวรบ แต่อินเดียยึดนโยบายไม่ใช้นิวเคลียร์ก่อน (No First Use) โดยจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้เท่านั้นความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานรุนแรงขึ้นหลังจาก เหตุการณ์ก่อการร้ายในแคชเมียร์ เมื่อ 22 เมษายน 2025 มีผู้เสียชีวิต 6 ราย อินเดียตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศในปากีสถาน และปากีสถานตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธและการโจมตีด้วยโดรน7 พฤษภาคม 2025 อุบัติการปะทะทางอากาศครั้งใหญ่ ระหว่าง เครื่องบินรบของทั้งสองประเทศ มีเครื่องบินรบเข้าร่วมมากกว่า 100 ลำ ถือเป็นการปะทะกันทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเช้า 10 พฤษภาคม 2025 ปากีสถานเปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีไปที่ฐานทัพหลายแห่ง รวมถึงคลังเก็บขีปนาวุธทางตอนเหนือของอินเดีย เป็นการยกระดับการสู้รบที่รุนแรงในรอบเกือบ 30 ปีประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯออกมาตะโกนก้องร้องสั่งให้ทั้งคู่หยุดความรุนแรง ทรัมป์บอกว่าตนรู้จักทั้งคู่ดีและขอยืนเคียงข้าง ทั้งสองฝ่าย ตนอยากเห็นการหาทางออกร่วมกัน ถ้าทำอะไรที่บรรเทาเบาบางสถานการณ์ได้ ตนยินดีที่จะทำหากอินเดียและปากีสถานยิงนิวเคลียร์ใส่กัน ก็จะเกิดการ ทำลายล้างโดยตรง คนจะตายหลายล้านทันทีไม่ว่าจะที่นิวเดลี (อินเดีย) หรืออิสลามาบัด (ปากีสถาน) เนื่องจากแรงระเบิด ความร้อน และรังสี ยังไม่นับรวมกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ทางเศรษฐกิจ ทางการเมืองระหว่างประเทศ ทางมนุษยชาติ และผลกระทบในระยะยาวบรรดาสงครามความขัดแย้งที่กำลังเกิดอยู่บนโลกอยู่ในขณะนี้ ความขัดแย้งของอินเดียกับปากีสถานน่ากลัวที่สุดหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหน้ามืด ยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ และอีกฝ่าย ยิงโต้ตอบ คนจะตายกันเป็นล้าน เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำหงำเหงือกตาเหลือกอยู่แล้ว ก็คงจะแย่ยิ่งขึ้นไปอีก น่ากลัวจริงๆครับ.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม