1.ความเกลียดกลัวต่างชาติหรือความกลัวจากความหวาดระแวงต่อภัยคุกคามที่มาจากกลุ่มที่แตกต่าง (Xenophobia) และ 2.ความอิจฉาริษยาที่เกิดจากความรู้สึกว่ากลุ่มอื่นมีสถานะที่เหนือกว่า (Envy-Based Bias) ทำให้สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯเสนอร่างพระราชบัญญัติ Stop CCP VISAs Act หรือ Stop Chinese Communist Prying by Vindicating Intellectual Safeguards in Academia Act (หยุดยั้งการสอดแนมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในสถาบันการศึกษา)สมาชิกสภาคองเกรสที่เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้มีทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก 1.นายไรลีย์ มัวร์ สส.รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย 2.นายแบรนดอน กิลล์ สส.รัฐเท็กซัส 3.นายสก็อตต์ เพอร์รี สส.รัฐเพนซิลเวเนีย 4.นายทรอย เนห์ลส์ สส.รัฐเท็กซัส 5.นายแอนดี โอกเลส สส.รัฐเทนเนสซี 6.นายแอนดิสัน แมคโดเวลล์ สส.รัฐนอร์ทแคโรไลนา และ 7.นางแอชลีย์ มูดี สว.รัฐฟลอริดาร่างฯนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารคือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เนื้อหาของร่างฯ คือ ระงับการออกวีซ่านักศึกษาให้กับพลเมืองจีน โดยอ้างว่ามีนักศึกษาจีนถูกจับกุมเนื่องจากการสอดแนม ทางทหารและการขโมยเทคโนโลยีชั้นสูงจากบริษัทอเมริกันมีแนวโน้มว่าร่างฯ จะผ่านสภาฯ เมื่อผ่านและประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามแล้ว ก็สามารถบังคับใช้ได้ การงดการออกวีซ่านักศึกษา ให้กับพลเมืองจีนทั้งหมดจะส่งผลให้จำนวนนักศึกษาจีนในสหรัฐฯ ลดลงมากจีนไม่กระทบดอกครับ ที่จะกระทบรุนแรงก็น่าจะเป็นสถาบันการศึกษาของสหรัฐฯที่ต้องพึ่งรายได้จากนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาจีน ค่าเล่าเรียน ค่าธรรมเนียม รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นที่นักศึกษาจีนหอบเงินมาก็จะหดหาย แม้แต่ชุมชนอเมริกันที่หากินอยู่รอบมหาวิทยาลัยก็พลอยกระทบไปด้วยสหรัฐฯเคยได้ชื่อว่าเป็น Melting Pot หรือหม้อซุป ซึ่งเป็นแนวคิดที่รับผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมหลอมรวมเข้ากับสังคมอเมริกันและกลายเป็นวัฒนธรรมเดียวกัน แนวคิด Melting Pot จะหายไป หรือแม้แต่ Salad Bowl หรือชามสลัดผัก ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้อพยพสามารถรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเองได้ ขณะที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกันก็จะหมดความสำคัญไปด้วยเช่นกันการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้จะเพิ่มความตึงเครียดทางการทูตระหว่างสหรัฐฯและจีน จีนอาจจะมองว่านี่เป็นการเลือกปฏิบัติและเป็นการกีดกันทางการศึกษา ที่พอทำนายได้ก็คือ การวิจัยและพัฒนาในสหรัฐฯจะด้อยลง ต้องยอมรับว่าสหรัฐฯเด่นดังทางด้านวิชาการ การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆของสหรัฐฯเกิดจากนักวิจัยหลายชาติที่มาช่วยต่อยอดองค์ความรู้ เช่น จากเยอรมนี รัสเซีย อินเดีย จีน ฯลฯนโยบายเลือกปฏิบัติของทรัมป์จะทำให้นักวิชาการที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันเชื้อสายจีนจำนวนไม่น้อยสละงานวิชาการในสหรัฐฯแล้วเดินทางกลับไปทำงานกับสถาบันการศึกษาในจีน เรื่องนี้จะส่งผลให้แวดวงวิชาการจีนโตอย่างก้าวกระโดด ในทางกลับกันก็ทำให้งานวิชาการในสหรัฐฯอ่อนแอลง ถ้างานวิจัยและพัฒนาอ่อนแอลงก็จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคนจีนจำนวนไม่น้อยนิยมส่งลูกหลานไปเรียนต่อในต่างประเทศ แม้แต่ประเทศไทยของเราเอง เมื่อ ค.ศ.2022 มีนักศึกษาจีนเข้ามาเรียน 21,906 คน ค.ศ.2024 มีมากถึง 28,000 คน ส่วนใหญ่มาเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน เช่น อัสสัมชัญ เกริก ธุรกิจบัณฑิตย์ สแตมฟอร์ด ชินวัตร กรุงเทพ กรุงเทพธนบุรี หัวเฉียว ฯลฯนี่อาจเป็นโอกาสของมหาวิทยาลัยไทยที่จะปรับปรุงการเรียนการสอนให้ได้มาตรฐานสากลเพื่อรับนักศึกษาจีนเข้ามาเรียนในประเทศ เป็นการนำเม็ดเงินจากจีนเข้ามากระจัดพลัดพรายอยู่ในสถาบันการศึกษาและระบบเศรษฐกิจไทยนโยบายของสหรัฐฯที่กีดกันจีนและประเทศอื่นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความเป็นชาตินิยมของประเทศที่โดนกีดกันแรงขึ้น ความเป็นชาตินิยมและความรักชาติทำให้ผู้คนหันมาพัฒนาชาติตัวเองมากขึ้นนโยบายของพรรคเด็มโมแครตและพรรครีพับลิกันสลับหมุนเวียนเปลี่ยนไปมา 4 ปี บางครั้ง 8 ปี ทำให้เกิดความสับสน ไม่เฉพาะแต่ชาวต่างชาติ แม้แต่คนอเมริกันเองก็ยังปรับตัวไม่ทันหมดเทอม 4 ปีของการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ สหรัฐฯอาจจะกลายเป็นประเทศที่อ่อนแอลง ส่วนจีน รัสเซีย และอินเดีย อาจจะผงาดขึ้น.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม