เหล่าแฟนคลับของศิลปินเกาหลีใต้ คงจะทราบกันดีว่า “อัลบั้ม” มีความสำคัญอย่างไรต่อบุคคลอันเป็นที่รักของแฟนๆ อาจกล่าวได้ว่า “ยอดขายอัลบั้ม” นอกจากจะสร้างผลกำไรให้บริษัทแล้ว ยังอาจใช้เป็นตัวชี้วัดถึงความโด่งดังของศิลปินจากแต่ละสังกัด และครอบครองพื้นที่สื่อซึ่งปัจจุบันมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ อย่างการนับคะแนนชิงอันดับประจำสัปดาห์ในหลายรายการเพลงของเกาหลีใต้ เช่น รายการอินกิกาโย ช่องเอสบีเอส และรายการเอ็มเคาต์ดาวน์ ช่องเอ็มเน็ต ที่นำยอดขายอัลบั้มมาคิดเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนด้วยความสำคัญของอัลบั้มในยุคที่ความนิยมการฟังเพลงจากแผ่นซีดีลดลง ทำให้หลายสังกัดในเกาหลีใต้ ออกแบบสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย และจูงใจให้ผู้บริโภคอยากครอบครอง นอกเหนือไปจากเสียงเพลงในแผ่นซีดี ยังมีสิทธิพิเศษในการลุ้นโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมสุดพิเศษ เช่น งานแจกลายเซ็นของศิลปิน หากวงใดมีสมาชิกเป็นจำนวนมาก ก็จะมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ เป็นรูปของแต่ละคน เพิ่มจากแต่เดิมที่มีเพียงแค่รูปรวมสมาชิกเช่นเดียวกับการสุ่มโฟโต้การ์ดของศิลปินที่เป็นของแถม เช่น อัลบั้มของวงที่มีสมาชิก 8 คน จะมีรูปศิลปินที่แตกต่างกันคนละ 3 รูป รวมทั้งหมด 24 ใบ โดยใน 1 อัลบั้ม จะได้รับโฟโต้การ์ดแบบสุ่มจำนวน 2 ใบ กล่าวคือ ต่อให้ซื้อมากเท่าไร ก็ต้องเสี่ยงดวงอยู่ดีว่าจะได้รูปตามที่ต้องการทั้งหมดหรือลุ้นว่าจะได้รูปซ้ำหรือไม่ แฟนเพลงจึงต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อกว้านซื้อสินค้าหลากหลายเวอร์ชัน เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเหล่านี้อาจเรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอันแยบยล ทั้งเพื่อเพิ่มผลประกอบการ และสร้างสถิติยอดขายสูงสุดของศิลปินที่เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จ แต่นั่นสร้างผลดีต่อองค์กรจริงหรือ?ด้านหน่วยงานผู้บริโภคของเกาหลีใต้ (Korea Consumer Agency) เผยว่า ยอดขาย แผ่นซีดีในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นจาก 25 ล้านแผ่นในปี 2562 กลายเป็น 77 ล้านแผ่นในปี 2565 ทั้งยังสำรวจพฤติกรรมการซื้ออัลบั้มของผู้บริโภค พบว่า 5.7% ของกลุ่มตัวอย่างตัดสินใจซื้อสินค้าเพื่อฟังเพลงจากแผ่นซีดี ในทางตรงกันข้าม มีคน 52.7% เลือกซื้อเพราะต้องการสินค้าภายใน เช่น โปสต์การ์ดและโฟโต้การ์ด จึงเกิดคำถามขึ้นว่า เราซื้ออัลบั้มเป็นจำนวนมากเพราะอะไร1.ต้องการสนับสนุนเจ้าของบทเพลงอันแสนไพเราะให้ไปถึงฝั่งฝัน2.เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเพียงเพื่อให้ได้ครอบครองของแถมแบบสุ่ม3.ถูกทุกข้อ และจากการซื้ออัลบั้มที่มากจนเกินไป คุณมีวิธีจัดการกับสิ่งเหล่านี้ที่อาจกลายเป็นขยะในอนาคตอย่างไร?ญาทิตา เอราวรรณคลิกอ่านคอลัมน์ "หน้าต่างโลก" เพิ่มเติม