ถ้าคิดจะเป็นคนรวยต้องเรียนรู้เรื่องการใช้เงินซะก่อน เพราะ “ความมัธยัสถ์” คือหนึ่งในนิสัยที่ฝังรากลึกอยู่ในยีนของเหล่ามหาเศรษฐีโลกขึ้นชื่อสุดเรื่องความประหยัด ต้องยกให้ตระกูลที่มีเงินมากที่สุดอย่าง “ตระกูลวอลตัน” เจ้าของ “วอลมาร์ต” ห้างค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งโดย “แซม วอลตัน” ลูกชาวนาที่เติบโตมาแบบปากกัดตีนถีบ ต้องทำงานช่วยครอบครัวตั้งแต่เด็ก ทำมาหมดทั้งรีดนมวัว เป็นเด็กส่งนม และเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ว่ากันว่าเงินที่ได้จากการส่งหนังสือพิมพ์ ทำให้เขามีค่าเทอมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมิสซูรี และแม้ภายหลังเขาจะรวยเป็นอันดับต้นๆของอเมริกา แต่ก็ยังสั่งให้ลูกๆไปทำงานส่งหนังสือพิมพ์ในช่วงปิดเทอม เพื่อหาค่าขนมเพิ่ม นอกเหนือจากหน้าที่ประจำที่ต้องมาทำงานที่ร้านของพ่อ ช่วยเรียงกล่อง, กวาดถูพื้น, ยืนขายป๊อปคอร์นและลูกกวาด เพื่อให้รู้จักคุณค่าของเงินและคุณค่าของการทำงาน ในฐานะลูกชายคนโต “ร็อบ วอลตัน” บอกเล่าถึงมรดกความมัธยัสถ์ที่ได้รับการปลูกฝังจากบิดาว่า ถึงพ่อจะเสียชีวิตไปแล้ว เขาก็ไม่เคยลืมคุณค่าของการประหยัด และพยายามบริหารบริษัทด้วยคุณค่าเดียวกันนี้ โดยหนึ่งในความพยายามของเขาคือการมีห้องทำงานขนาดเล็กที่สุดในบริษัท ทั้งๆที่ขณะนั้นเป็นถึงท่านประธานแม้จะเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของอเมริกา แต่ “แซม วอลตัน” มักสอนลูกๆเสมอว่า ให้ตัดอภิสิทธิ์ความเป็นคนรวยทิ้งไป พยายามก้มหน้าก้มตาหาเงิน และรักษาความมั่งคั่งไว้ให้ได้ เรียกว่าจะสอนให้เข้าหัวก็ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กๆตลอดชีวิตของ “แซม วอลตัน” เขาไม่เคยโอ้อวดว่าตัวเองมีเงินขนาดไหน แซมยังคงอาศัยอยู่ในบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดาๆ เขาชอบขับรถปิกอัพ และไม่เคยคิดจะใช้รถหรูแบบเศรษฐีทั้งหลาย เพราะพาหมาไปด้วยไม่ได้ แม้แต่ร้านตัดผมแซมก็ใช้บริการร้านบ้านๆในตัวเมือง เขามีนิสัยมัธยัสถ์มาตั้งแต่เด็ก เพราะเกิดในช่วงที่อเมริกาเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ จึงรู้ถึงคุณค่าของเงิน กว่าจะได้เงินมาแต่ละดอลลาร์ต้องทำงานหนักแสนสาหัสขนาดไหนเพราะเติบโตมาแบบสมถะ ไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทำให้ลูกๆของแซมไม่เคยคิดว่าตัวเองรวยจนต้องมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ในวันที่คิดจะสร้างครอบครัวของตัวเอง แซมก็คุยกับภรรยาแล้วว่าจะสอนลูกๆเรื่องคุณค่าของเงินตั้งแต่พวกเขายังเบบี๋ โดยให้ลูกๆมาทำงานที่ร้านและรับจ๊อบพิเศษส่งหนังสือพิมพ์เหมือนพ่อ“แซม วอลตัน” แตกต่างจากมหาเศรษฐีหลายคนที่ไม่ยอมยกสมบัติให้ลูกหลาน เพราะกลัวจะผลาญสมบัติจนหมด โดยไม่รู้จักทำมาหากินให้งอกเงย เรื่องนี้แซมมองต่างจาก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” และ “บิล เกตส์” อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเขาเชื่อมั่นว่าการปลูกฝังให้ลูกๆเป็นคนประหยัดมาตั้งแต่เด็ก อบรมให้พวกเขารู้จักคุณค่าของเงิน และไม่ใช้เงินในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ จะเป็นเกราะคุ้มภัยให้ลูกๆสามารถรักษาทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้ก่อนตายได้.มิสแซฟไฟร์